ในการประชุม คณะกรรมการที่ปรึกษา ของ สำนักงานอาหารและยาแห่งสหรัฐอเมริกา (FDA) เมื่อวันอังคาร (30 พ.ย.) ที่ประชุมลงมติด้วยคะแนนเสียง 13 ต่อ 10 อนุมัติการใช้ ยาเม็ด “โมลนูพิราเวียร์” ของ บริษัทเมอร์ค แอนด์ โค ที่พัฒนาร่วมกับ บริษัท ริดจ์แบ็ค ไบโอเทราพิวติกส์ สำหรับการรักษาโรคโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉิน
ทั้งนี้ การรักษาโควิด-19 ด้วยยา 1 คอร์สของเมอร์คนั้น ประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้ง ๆ ละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน
สำหรับขั้นตอนต่อไปหลังจากนี้ คณะกรรมการที่ปรึกษาจะยื่นมติดังกล่าวเสนอให้ FDA พิจารณาเป็นลำดับต่อไป และเมื่อ FDA ให้การอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์อย่างเป็นทางการ ก็จะเป็นการปลดล็อกให้มีการใช้ยาดังกล่าวทั่วโลกด้วย เนื่องจากหน่วยงานสาธารณสุขของหลายประเทศยังไม่ให้การอนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ หากยังไม่ได้รับการรับรองจาก FDA ของสหรัฐอเมริกา
ข่าวระบุว่า ที่ผ่านมานั้น FDA มักมีมติสอดคล้องกับความเห็นของคณะกรรมการที่ปรึกษา แม้ว่าโดยหลักการแล้ว FDA ไม่จำเป็นต้องดำเนินการตามคำแนะนำของคณะกรรมการที่ปรึกษาก็ตาม
อย่างไรก็ดี กรรมการหลายคนของทีมที่ปรึกษา FDA ระบุว่า การลงมติครั้งนี้เป็นไปด้วยความยากลำบาก เนื่องจากจำเป็นต้องพิจารณาอย่างรอบคอบระมัดระวังเกี่ยวกับความเสี่ยงและประโยชน์จากยาโมลนูพิราเวียร์ นอกจากนี้ กรรมการหลายคนยังได้แนะนำให้มีการทบทวนการใช้ยาเป็นกรณีฉุกเฉิน หรืออาจถึงขั้นถอนการอนุมัติการใช้ยา หากพบว่าในวันข้างหน้ามีทางเลือกอื่นที่ดีกว่าในการรักษา
เมื่อวันที่ 26 พ.ย.ที่ผ่านมา เมอร์คได้เปิดเผยข้อมูลใหม่พบว่า ยาโมลนูพิราเวียร์ลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้เพียง 30% เท่านั้น จากเดิมที่เคยระบุว่าสามารถลดความเสี่ยงดังกล่าวได้ 50%
สถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 และการเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วของผู้ติดเชื้อ ทำให้บางประเทศอนุมัติใช้ยาโมลนูพิราเวียร์ไปก่อนแล้วโดยไม่รอการอนุมัติอย่างเป็นทางการของ FDA นั่นก็คือ ประเทศอังกฤษ ที่อนุมัติการใช้ยาโมลนูพิราเวียร์สำหรับการรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เมื่อวันที่ 4 พ.ย.ที่ผ่านมา และหลายประเทศทั่วโลก รวมทั้งไทย ก็มีแผนสั่งซื้อยาดังกล่าวล่วงหน้าแล้วเช่นกัน
ข้อมูลอ้างอิง