สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานโดยอ้างแหล่งข่าววานนี้ (21 ธ.ค.) ระบุว่า สำนักงานคณะกรรมการอาหารและยาสหรัฐ (FDA) กำลังเตรียมอนุมัติ ยาโมลนูพิราเวียร์ (Molnupiravir) ของบริษัทเมอร์ค แอนด์ โค และ ยาแพกซ์โลวิด (Paxlovid) ของบริษัทไฟเซอร์ อิงค์ พร้อมกันในวันนี้ (22 ธ.ค.) เพื่อ การรักษาผู้ป่วยโควิด-19 เป็นกรณีฉุกเฉิน
หาก FDA ให้การอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิดในวันนี้ตามคาด ก็จะเป็นการ “ปลดล็อก” ให้มีการใช้ยาดังกล่าวทั่วโลก เนื่องจากหน่วยงานสาธารณสุขของหลายประเทศยังคงรอการรับรองจาก FDA ก่อนที่จะให้การอนุมัติการใช้ยาดังกล่าวในประเทศของตัวเอง
การอนุมัติยาโมลนูพิราเวียร์และยาแพกซ์โลวิดในครั้งนี้มีขึ้น ขณะที่โลกกำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดของโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน ซึ่งได้กลายเป็นสายพันธุ์หลักในสหรัฐอเมริกา โดยคิดเป็นสัดส่วน 73% ของจำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 ทั้งหมด ขณะที่จำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาลดลงเหลือเพียง 27%
ทั้งนี้ มีการตรวจพบผู้ป่วยติดเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอนใน 43 จาก 50 รัฐในสหรัฐ ขณะที่ไวรัสดังกล่าวได้แพร่ระบาดในกว่า 90 ประเทศทั่วโลกแล้ว
ประสิทธิภาพและวิธีการใช้ยา
ด้านบริษัทไฟเซอร์ระบุว่า ยาแพกซ์โลวิด สามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ถึง 89% รวมทั้งมีประสิทธิภาพในการรักษาผู้ป่วยที่ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์โอมิครอน
ผู้ที่จะรับประทานยาของไฟเซอร์จะต้องรับทั้งยาแพกซ์โลวิด พร้อมกับยาริโทนาเวียร์ ซึ่งเป็นยาต้านไวรัส HIV โดยยา 1 คอร์สของไฟเซอร์ประกอบด้วยยาแพกซ์โลวิด 20 เม็ดและริโทนาเวียร์ 10 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน ทั้งนี้ ผู้ป่วยจะรับประทานยาแพกซ์โลวิดขนาด 150 มิลลิกรัม 2 เม็ดต่อครั้ง คู่กับยาริโทนาเวียร์ 100 มิลลิกรัม 1 เม็ดต่อครั้ง วันละ 2 ครั้ง เป็นเวลา 5 วัน
ส่วนบริษัท เมอร์คเปิดเผยว่า ยาโมลนูพิราเวียร์ สามารถลดความเสี่ยงของผู้ป่วยโควิด-19 ในการเข้ารักษาตัวในโรงพยาบาลหรือเสียชีวิตได้ 30%
ยา 1 คอร์สของเมอร์คประกอบด้วยยาโมลนูพิราเวียร์ขนาด 200 มิลลิกรัม จำนวน 40 เม็ดสำหรับผู้ป่วย 1 คน โดยผู้ป่วยจะรับประทานยาวันละ 2 ครั้งๆละ 4 เม็ด เป็นเวลา 5 วัน