ในผลงานวิจัยของรัสเซียและอิตาลี ซึ่งเป็นการศึกษาเบื้องต้นจากห้องปฏิบัติการและกลุ่มตัวอย่างขนาดเล็ก ที่สนับสนุนโดย กองทุนการลงทุนโดยตรงของรัสเซีย (RDIF) แสดงให้เห็นว่า ระดับการป้องกัน เชื้อไวรัสโควิด-19 สายพันธุ์ โอมิครอน ของผู้ที่รับ วัคซีนสปุตนิก วี ของ รัสเซีย ลดลงไม่มากเท่ากับบุคคลที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์
การศึกษาดังกล่าวได้ทำการเปรียบเทียบกับเซรุ่มเลือดของบุคคลที่ได้รับวัคซีนชนิดต่าง ๆ ซึ่งดำเนินการโดยนักวิทยาศาสตร์จากสถาบันสปัลลันซานีในอิตาลี และสถาบันกามาเลยาในรัสเซีย ผู้พัฒนาวัคซีนป้องกันโควิด-19 "สปุตนิก วี"
นักวิจัยระบุว่า ตัวอย่างที่ได้มาในช่วง 3-6 เดือน หลังการฉีดวัคซีนเข็มที่ 2 แสดงให้เห็นว่า ระดับแอนติบอดีในผู้รับวัคซีนของสปุตนิก วี จำนวน 2 เข็ม สามารถต้านทานเชื้อสายพันธุ์โอมิครอนได้ดีกว่าบุคคลที่ได้รับวัคซีนของไฟเซอร์ โดยการศึกษาครั้งนี้ได้รวมถึง ผู้ฉีดวัคซีน 2 เข็มของสปุตนิก วี 51 รายและไฟเซอร์ 17 ราย
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า การศึกษาชิ้นนี้ซึ่งต้องได้รับการพิจารณาจากผู้เชี่ยวชาญอีกครั้ง แสดงให้เห็นถึงการตรวจพบแอนติบอดีที่ยับยั้งการเพิ่มจำนวนไวรัสของสายพันธุ์โอมิครอนในเซรุ่มเลือดของบุคคลที่ฉีดวัคซีนสปุตนิก 74.2% และ 56.9% ของบุคคลที่ฉีดวัคซีนของไฟเซอร์
อย่างไรก็ตาม ในงานศึกษาครั้งนี้ได้ตอกย้ำว่า การฉีดวัคซีนเข็ม 3 หรือ วัคซีนบูสเตอร์ เพื่อกระตุ้นภูมิคุมกันนั้น กลายเป็นสิ่งจำเป็นอย่างชัดเจน