ดร.สุรเกียรติ์ เสถียรไทย ประธานคณะมนตรีเพื่อสันติภาพและ ความปรองดองแห่งเอเชีย (APRC) และกรรมการการประชุมโบอ่าวแห่งเอเชีย (Boao Forum for Asia) ปาฐกถาพิเศษ ในงานครบรอบ 67 ปี สมาคมนักข่าวนักหนังสือพิมพ์แห่งประเทศไทย เรื่อง “ยุทธศาสตร์ สี จิ้น ผิง” เขย่าโลก ไทยจะอยู่อย่างไร
โดยระบุว่า ปัจจุบันประเทศจีนมีความสำคัญที่จะเขย่าโลกได้ เพราะจีนมียุทธศาสตร์ที่สามารถส่งผลต่อภูมิสถาปัตย์ทางเศรษฐกิจ และทางการเมืองของโลก และยังแข่งขันกับชาติมหาอำนาจอื่นได้ เช่นเดียวกับชาติมหาอำนาจอื่นก็ยังแสดงความต้องการแข่งขันกับจีนด้วย
“จริง ๆ แล้วการเขย่าโลกไม่ใช่การเขย่าแค่ให้จีนใหญ่ขึ้นมา แต่เป็นการเขย่า เพราะจีนมีความสำคัญพอในระดับโลก โดยตอนนี้ทั้งการเมืองภายใน และเศรษฐกิจภายในของจีนมีความเข้มแข็งพอ รวมทั้งยังมียุทธศาสตร์ที่แหลมคมที่สามารถแข่งขันกับชาติมหาอำนาจได้”
ดร.สุรเกียรติ์ กล่าวว่า ความสำคัญของจีนจะเขย่าโลกได้หรือนั้นไม่ มีเหตุผลด้วยกัน 14 ประการ
ประการที่ 1 คือ จีนผงาด โดยจีนได้เข้ามามีบทบาทสำคัญกับโลกทั้งทางด้านการทหาร เศรษฐกิจ การเมือง โดยเฉพาะในช่วง 10 ปีที่ผ่านมาจีนได้ผงาดในเรื่องของวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีเป็นอย่างมาก สามารถขจัดความยากจน และลดความเหลื่อมล้ำได้เพียงแค่ช่วงระยะเวลาไม่กี่ 10 ปีเท่านั้น
ประการที่ 2 การเน้นกิจการภายในของจีน ทั้งด้านเศรษฐกิจ ซึ่งได้ประกาศนโยบายเศรษฐกิจควบคู่ (Dual Circulation) คือเศรษฐกิจในระเทศควบคู่เศรษฐกิจระหว่างประเทศ รวมทั้งการทุ่มงบประมาณมหาศาลในการสร้างพื้นฐานในการวิจัยและพัฒนาเทคโนโลยีขึ้นภายในประเทศ (Homegrown) เช่นเดียวกับการสร้างชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี สร้างสังคม ความรักชาติ และรักษาความต่อเนื่องของผู้นำ ทำให้จีนมีความมั่นคงและมีความโดดเด่นอย่างมาก
ประการที่ 3 ต้องติดตามจีนที่ตอนนี้กำลังอยู่ระหว่างการประชุมสภาที่ปรึกษาการเมืองจีน (CPPCC) และสภาประชาชนแห่งชาติ (NPC) เมื่อวันที่ 5 มี.ค.2565 ที่ผ่านมา โดยนายหลี่ เค่อเฉียง นายกรัฐมนตรีของจีน จะรายงานภาคการเงิน อสังหาริมทรัพย์ พร้อมพิจารณาทบทวนเป้าหมายของการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ รวมทั้งติดตามนโยบายภาษี นโนบาย Zero Covid และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ
ขณะเดียวกันหวัง อี้ มนตรีแห่งรัฐและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน จะมีการรายงานนโยบายทางด้านการต่างประเทศ โดยเฉพาะสถานการณ์วิกฤตรัสเซีย-ยูเครน ทั้งการไม่ประนามสหรัฐฯ การที่จะมีบทบาทที่จะเข้าไปช่วยดูเรื่องของสันติวิธีได้อย่างไร และการสร้างความเข้าใจว่ารัสเซียมีความห่วงใยในความมั่นคงของประเทศ โดยไม่อยากให้องค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ หรือ NATO มาตั้งจุดรบหรืออาวุธนิวเคลียร์ในยูเครน
ประการที่ 4 สร้างยุทธศาสตร์สร้างไข่มุก (String of Pearls) ร้อยประเทศต่าง ๆ เอเชียเข้าด้วยกัน
ประการที่ 5 สร้างยุทธศาสตร์ 2 มหาสมุทร (Two Ocean Strategy) ทั้งมหาสมุทรแปซิฟิก และมหาสมุทรอินเดีย ซึ่งไทยมีที่ตั้งอยู่ตรงกลางยุทธศาสตร์
ประการที่ 6 สร้างยุทธศาสตร์ Pan-Beibu Gulf Cooperation โดยให้มณฑลกวางตุ้ง กวางสี และไหหลำ เป็นจุดเชื่อมอาเซียน
ประการที่ 7 สร้างยุทธศาสตร์ Belt and Road Initiatives หรือเส้นทางสายใหม่ทางบกและทางทะเล
ประการที่ 8 การสร้างระบบการระดมทุนเพื่อการพัฒนาใหม่ : ธนาคารเพื่อการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานของเอเชีย (Asian Infrastructure. Investment Bank : AIIB)
ประการที่ 9 สร้างการระดมทุนเพื่อการพัฒนาใหม่ : ธนาคารเพื่อการพัฒนาใหม่ (New Development Bank) ภายใต้กลุ่มบริกส์ (BRICS)
ประการที่ 10 การเกิดระบบสร้างเสถียรภาพของการเงิน และอัตราแลกเปลี่ยน : มาตรการริเริ่มเชียงใหม่ไปสู่การเป็นพหุภาคีหรือ CMIM (Chiang Mai Initiative Multilateralisation: CMIM)
ประการที่ 11 ยุทธศาสตร์ทางการเงิน โดยทำให้เงินหยวนมีบทบาทมากยิ่งขึ้น และให้เป็นส่วนหนึ่งของเงินสำรองระหว่างประเทศ และใช้ในการชำระเงินระหว่างประเทศ
ประการที่ 12 การเกินเทคโนโลยีทางการเงินใหม่ ทั้ง Fin Tech และ Tech Fin รวมทั้งเทคโนโลยีจัดเก็บข้อมูลแบบกระจายศูนย์ (DLT) เช่นเดียวกับ Blockchain และ การสร้างเงินสกุลดิจิทัลที่ออกโดยธนาคารกลางของประเทศ (Central Bank Digital Currency) รวมไปถึงการทำเงินหยวนดิจิทัล ที่ได้รับการการันตีโดยธนาคารกลาง
ประการที่ 13 จีนประกาศนโยบาย Made in China 2025
ประการที่ 14 การประกาศเป็นประเทศชั้นนำทางเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ภายในปี ค.ศ.2030
ดร.สุรเกียรติ์ ยังกล่าวว่า ด้วยเหตุผลทั้ง 14 ข้อนี้ แม้จะเห็นว่าจีนมีความสำคัญ แต่จีนจะเขย่าโลกไม่ได้ทั้งหมดถ้าไม่มีคู่แข่ง ดังนั้นจึงต้องมาดูปัจจัยของจีนว่าจะแข่งกับชาติมหาอำนาจอันดับ 1 คือสหรัฐอเมริกา ได้หรือไม่ โดยมีปัจจัยการแข่งขันต่าง ๆ ดังนี้
อย่างไรก็ตามในส่วนของประเทศไทยเองนั้น จะสามารถปรับตัวอยู่อย่างไรภายใต้สถานการณ์จีนเขย่าโลก ซึ่งมีเรื่องที่สำคัญต้องเร่งดำเนินการ ดังนี้
“สรุปแล้วประเทศไทยจะอยู่อย่างไร เรื่องนี้ก็คงต้องอยู่แบบไทย ๆ ไปเหมือนเดิม แต่ต้องอยู่แบบใกล้ชิดกับชาติมหาอำนาจทุกฝ่าย สร้างความสัมพันธ์ระหว่างกัน พร้อมทั้งมียุทธศาสตร์ที่ชาญฉลาดขึ้น เร็วขึ้น ยืดหยุ่นมากขึ้น และต้องปรับตัวเร็ว เพราะที่ผ่านมาเห็นได้ชัดว่าประเทศไทยชาญฉลาดแต่อาจช้าเกินไป และไม่ทันกับการที่จะได้รับประโยชน์จากความเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ และการเมืองระหว่างประเทศ"
ส่วนสุดท้ายขอให้เร่งประสานองคาพยพ และภาคส่วนต่าง ๆ ของไทย เพื่อทำให้ประเทศไทยอยู่ได้ท่ามกลางจีนและชาติมหาอำนาจที่กำลังเขย่าโลกอยู่ในปัจจุบัน