ท่ามกลาง กระแสต่อต้านการบุกรุกยูเครน ของ รัสเซีย ซึ่งยังคงคุกรุ่นในขณะนี้ บริษัทชื่อดังหลายรายจากหลากภาคธุรกิจ ตั้งแต่แฟชั่น พลังงาน รถยนต์ ไปจนถึงเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ได้ร่วมกันแสดงพลังด้วยการ ปิดสำนักงานและฐานการผลิตในรัสเซีย เพื่อร่วมแสดงจุดยืนในแง่การรับผิดชอบต่อสังคม พร้อมรักษาภาพลักษณ์ขององค์กรด้วยการสนับสนุน ยูเครน ซึ่งอยู่ในฐานะผู้ถูกรุกราน
สำนักข่าววีโอเอ สื่อใหญ่ของสหรัฐอเมริกา รายงานวันนี้ (7 มี.ค.) ว่า การทำสงครามของรัสเซียในยูเครนส่งผลให้ รัฐบาลรัสเซียถูกคว่ำบาตร และลงโทษด้วยมาตรการทางเศรษฐกิจมากมายหลายรูปแบบ จนทำให้เศรษฐกิจรัสเซียพัง ซ้ำยังขัดขวางการให้บริการและดำเนินงานของบริษัทต่างชาติในรัสเซียด้วย
แมรี เลิฟลี นักวิเคราะห์อาวุโสแห่งสถาบันรัฐศาสตร์ปีเตอร์สัน (Peterson Institute) ในกรุงวอชิงตัน อธิบายว่า รัสเซียได้กลายเป็นประเทศที่ถูกผู้ประกอบธุรกิจที่ทั่วโลก “รังเกียจ” และ “หันหลังให้”
“แทบไม่มีบริษัทใด รวมทั้งบริษัทข้ามชาติทั้งหลาย ต้องการจะเอาตัวเองเข้าไปยุ่งเกี่ยวหรืออยู่กับฝ่ายเดียวกับประเทศที่โดนมาตรการลงโทษของสหรัฐและชาติตะวันตก” เลิฟลีกล่าว
อย่างไรก็ตาม คำสั่งของรัฐบาลเครมลินที่ห้ามไม่ให้นักลงทุนเทขายทรัพย์สินในรัสเซียได้สร้างความยากลำบากให้กับบริษัทต่างๆ ที่ต้องตบเท้าออกจากรัสเซียไป โดยเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (1 มี.ค.) นายมิคาอิล มิชูสติน นายกรัฐมนตรีรัสเซีย ออกมากล่าวว่า รัสเซียจะพยายามช่วยให้บริษัทต่าง ๆ สามารถตัดสินใจได้ถูก แทนการที่บริษัทเหล่านี้จะยอมจำนนต่อมาตรการลงโทษจากนานาชาติ
ทั้งนี้ บริษัทพลังงาน ทั้งใหญ่และเล็กจากชาติต่าง ๆ ก็ได้ประกาศยกเลิกการลงทุนในโครงการใหญ่ๆกับรัสเซียแล้ว อาทิ
คราวนี้ ลองมาสำรวจ ภาคธุรกิจอื่นๆ มีหลายบริษัทได้ออกมาประณามรัสเซียอย่างชัดเจนต่อการส่งกองทัพบุกยูเครน เพราะปรากฏการณ์ข้างต้นเป็นทั้งการป้องกันธุรกิจของตนเองจากมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจของชาติตะวันตก และยังเป็นการรักษาภาพลักษณ์ของบริษัทด้วย ยกตัวอย่างเช่น
สำหรับ บางบริษัทที่มีฐานการผลิตและความสัมพันธ์ยาวนานกับประเทศรัสเซีย การปฏิบัติตนให้เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบันมีความแตกต่างกันออกไป เช่น
บริษัทผลิตรถยนต์ เรโนลต์ (Renault) ของฝรั่งเศส ออกมาประกาศเพียงว่า จะระงับการผลิตในโรงงานที่กรุงมอสโก ส่วน บริษัทผลิตเบียร์ คาร์ลสเบิรก (Carlsberg) สัญชาติเดนมาร์ก ยังคงยืนยันที่จะเปิดโรงงานในนครเซนต์ปีเตอส์เบิร์กของรัสเซียต่อไป
นายเจมส์ โอร็อคคี อาจารย์ผู้เชี่ยวชาญด้านภาพลักษณ์องค์กรแห่งมหาวิทยาลัย Notre Dame’s Mendoza College of Business ให้ความเห็นว่า “ในช่วงที่สถานการณ์ปกติ การทำธุรกิจในรัสเซียก็ถือว่ามีความยากลำบากอยู่พอตัวแล้ว ส่วนในตอนนี้มันวุ่นวายมาก คิดว่าการถอนธุรกิจออกมาจากรัสเซียในยามนี้ จึงเป็นสิ่งที่ฉลาดและสมควรทำ”
เขาพูดเสริมด้วยว่า การทำธุรกิจกับรัสเซียในตอนนี้เปรียบเสมือนการทำธุรกิจกับครอบครัวแมนสัน ซึ่งผู้นำของครอบครัวนี้คือ ชาร์ล แมนสัน ผู้คลั่งลัทธิทางศาสนาและฆาตกรสังหารโหดชื่อดัง ดังนั้น บริษัทต่างๆจึงไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับรัสเซีย และเมื่อดูจากสถานการณ์ปัจจุบันแล้ว อาจารย์ผู้นี้บอกว่า บริษัทเหล่านี้คงไม่ประสบความเสียหายมากนัก หากคิดจะถอนตัวออกจากรัสเซีย
สำหรับกระแสการระงับธุรกิจในรัสเซียของแบรนด์ดังที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องนั้น สำนักข่าวเอพีชี้ว่า เป็นผลมาจากทั้งมาตรการลงโทษทางเศรษฐกิจจากนานาประเทศและกระแสสังคมที่องค์กรต้องตอบรับ เพราะทั่วโลกกำลังเฝ้าดูด้วยความห่วงใยเกี่ยวกับความหายนะทางด้านมนุษยชนจากสงครามที่ทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อย ๆ ในขณะนี้
วาเนสซา เบอบาโน อาจารย์แห่งมหาวิทยาลัย Columbia Business School ในนครนิวยอร์กได้เตือนถึงการที่แบรนด์ดังร่วมกันหยุดทำธุรกิจในรัสเซียว่าอาจจะเป็น การฟอกเขียว (Greenwashing) ซึ่งหมายถึง การที่องค์กรพยายามหลอกผู้บริโภคด้วยการสร้างภาพลักษณ์หรือการกระทำต่างๆแสดงความรับผิดชอบต่อสังคม แม้ในความเป็นจริงและในภาคปฏิบัตินั้น องค์กรเหล่านี้ไม่เคยคิดจะคำนึงถึงสิ่งข้างต้นเลย
“ผู้ที่มีส่วนได้ส่วนเสีย หรือพนักงานและผู้บริโภคนั้น อยากจะเห็นว่าการกระทำและพฤติกรรมของบริษัทต่างๆตรงกับสิ่งที่บริษัทเหล่านี้ให้คำมั่นสัญญาว่าจะสนับสนุนชาวยูเครนจริง ๆ”
อย่างไรก็ดี บางบริษัท เช่น เลโก้ (Lego) ฟอร์ด (Ford) และ โฟล์กสวาเกน (Volkswagen) ได้ทำมากกว่าการระงับการส่งสินค้าหรือปิดการทำการ โดยมีการช่วยเรี่ยไรเงินจำนวนหลายล้านดอลลาร์เพื่อนำไปบริจาคสำหรับการช่วยเหลือผู้ลี้ภัยชาวยูเครนแล้ว