สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า แม้ยอดการทำธุรกรรมด้วย เงินคริปโต โดยรวมใน รัสเซีย จะไม่สูงมากนัก แต่ข้อมูลจาก Kaiko ซึ่งเป็นบริษัทวิเคราะห์บล็อกเชนระบุว่า เมื่อวันเสาร์ที่ผ่านมา (5 มี.ค.) มี ยอดการเทรดบิตคอยน์สกุลเงินรูเบิล สูงสุดในรอบปีนี้ ขณะเดียวกันปริมาณการซื้อขายคริปโตด้วยเงินรูเบิลส่วนใหญ่นั้นอยู่ในเหรียญเทเธอร์ (USDT) ซึ่งเป็นสกุลเงินดิจิทัลที่มีมูลค่าคงที่ (Stablecoin)
นายแอนดรูว ตู ผู้จัดการฝ่ายการพัฒนาธุรกิจของบริษัทเอฟฟิเชียนท์ ฟรอนเทียร์ ระบุว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวสะท้อนให้เห็นว่านักลงทุนรายย่อยชาวรัสเซียพยายามที่จะหลีกเลี่ยงการถือเงินสด และเข้าถือครองเหรียญ BTC แทน เพราะถึงแม้มาตรการคว่ำบาตรทางการเงินของชาติตะวันตกจะส่งผลกระทบต่อการใช้สกุลเงินดอลลาร์ แต่ก็ไม่ได้ส่งผลกระทบโดยตรงต่อนักลงทุนชาวรัสเซียที่ถือเหรียญ USDT ซึ่งอิงมูลค่ากับสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ
ทั้งนี้ มีเพียง 3 แพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินดิจิทัลระดับโลกที่ยอมรับคู่เทรดสกุลเงินคริปโต/รูเบิล ซึ่งได้แก่ ไบแนนซ์, โยบิท และโลคัลบิตคอยน์
ก่อนหน้านี้ ไบแนนซ์ (Binance) และ คอยน์เบส (Coinbase) แพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตเคอร์เรนซีรายใหญ่ ที่มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่หมู่เกาะเคย์แมน อาณานิคมโพ้นทะเลของอังกฤษ เคยออกมาประกาศว่า ทั้งสองบริษัทจะไม่ปิดกั้นชาวรัสเซียในการเข้าใช้บริการของแพลตฟอร์ม แม้ว่าสถาบันการเงินกระแสหลักจะใช้มาตรการโดดเดี่ยวรัสเซีย จากเหตุที่รัสเซียเปิดฉากรุกรานยูเครน โดยผู้บริหารของไบแนนซ์ยืนยันจะไม่อายัดบัญชีผู้ใช้แพลตฟอร์ม (ชาวรัสเซีย) ซึ่งเป็นผู้บริสุทธิ์หลายล้านบัญชีตามอำเภอใจ ขณะที่คอยน์เบสระบุว่า ทุกคนควรได้เข้าถึงบริการการเงินพื้นฐาน ตราบใดที่กฎหมายอนุญาต
อย่างไรก็ตาม ในระยะหลัง ๆนี้ คอยน์เบสแสดงให้เห็นว่ามีความพยายามที่จะบล็อกผู้ใช้งานที่ถูกคว่ำบาตร โดยคอยน์เบสเผยว่า บริษัทได้บล็อกบัญชีผู้ใช้งานแล้ว 25,000 บัญชีหลังพบว่ามีส่วนเกี่ยวข้องกับมาตรการคว่ำบาตรของชาติตะวันตก
ท่ามกลางสถานการณ์สงครามและการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจและการเงินต่อรัสเซียเช่นนี้ (ซึ่งรวมถึงการอายัดสินทรัพย์ของธนาคารกลางรัสเซียและธนาคารอื่น ๆบางราย การอายัดสินทรัพย์ของนักธุรกิจรัสเซียที่มีความใกล้ชิดกับปธน.ปูติน ผู้นำรัสเซีย ตลอดจนการตัดธนาคารบางแห่งของรัสเซียออกจากระบบชำระและโอนเงินสากล SWIFT ) นักลงทุนและหน่วยงานที่ได้รับผลกระทบจำนวนมากหันมาหาเงินดิจิทัล หรือเงินคริปโตเป็นทางออกเพื่อหลีกเลี่ยงอุปสรรคปัญหาที่เกิดขึ้น ในขณะเดียวกัน บทบาทของเงินคริปโตยังเพิ่มขึ้นในแง่ของ “ความช่วยเหลือ” ด้วย
โดยเมื่อสิ้นเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ไบแนนซ์ ซึ่งปัจจุบันเป็นผู้ให้บริการแพลตฟอร์มแลกเปลี่ยนสกุลเงินคริปโตรายใหญ่ที่สุดในโลก ได้ประกาศบนเว็บไซต์ของบริษัท ว่า บริษัทจะบริจาคเงินคริปโตขั้นต่ำมูลค่า 10 ล้านดอลลาร์เพื่อให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ยูเครน ผ่านมูลนิธิไบแนนซ์ ชาริตี้ (Binance Charity)
เม็ดเงินคริปโตดังกล่าวจะจัดสรรให้กับองค์กรหลัก ๆ ของรัฐบาล และองค์กรไม่แสวงหาผลกำไร ซึ่งรวมถึงยูนิเซฟ (UNICEF) สำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR), ไอแซนส์ (iSans) และพีเพิล อิน นีด (People in Need) เพื่อช่วยเหลือเด็กและครอบครัวที่ต้องพลัดถิ่นในยูเครนและประเทศเพื่อนบ้านที่เปิดพรมแดนรับผู้อพยพจากยูเครน
นอกจากนี้ ไบแนนซ์ยังได้เปิดตัว เว็บไซต์ระดมทุนคริปโตแห่งแรกของโลก ภายใต้ชื่อ กองทุนบรรเทาทุกข์ฉุกเฉินยูเครน (Ukraine Emergency Relief Fund) ซึ่งเปิดทางให้ประชาชนได้บริจาคเงินคริปโต เพื่อนำไปช่วยเหลือผู้ลี้ภัยและเด็ก ๆ เป็นการเร่งด่วน รวมถึงช่วยในด้านการขนส่งทรัพยากรต่าง ๆ อาทิ อาหาร พลังงาน และข้าวของเครื่องใช้แก่ผู้อพยพ โดยไบแนนซ์ได้บริจาคเงินคริปโต จำนวน 16,042 BNB หรือคิดเป็นเงินราว 6 ล้านดอลลาร์สหรัฐเป็นการนำร่องไปแล้ว