นับเป็นข่าวสะเทือนใจต้อนรับ "วันคุ้มครองโลก" หรือ Earth Day วันที่ 22 เมษายน 2565 เมื่อมีรายงานการสำรวจของนักวิจัยจีนเกี่ยวกับ “การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศโลก” พบว่า แผ่นน้ำแข็ง ใน มหาสมุทรแอนตาร์กติก แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ คือเหลือไม่ถึง 2 ล้านตารางกิโลเมตรเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจขั้วโลกทางดาวเทียมในปีค.ศ. 1978 (พ.ศ. 2521)
สำนักข่าวซินหัว สื่อใหญ่ของจีนรายงานเกี่ยวกับผลงานวิจัยของจีนในวารสารความก้าวหน้าทางวิทยาศาสตร์บรรยากาศ (Advances in Atmospheric Sciences) เมื่อต้นสัปดาห์ (19 เม.ย.) พบว่า ขอบเขตของแผ่นน้ำแข็งในทะเลแอนตาร์กติก ซึ่งเป็นเขตขั้วโลกใต้ แตะระดับต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ในเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา ถือเป็นการทำสถิติดังกล่าวเป็นครั้งที่ 2 ภายในรอบ 5 ปี
การวิจัยดังกล่าวพบว่าเมื่อวันที่ 25 ก.พ. 2565 หรือไม่กี่วันหลังสิ้นสุดช่วงฤดูร้อนของซีกโลกใต้ ขอบเขตของแผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรแอนตาร์กติกได้ลดลงต่ำกว่า 2 ล้านตารางกิโลเมตรเป็นครั้งแรก นับตั้งแต่เริ่มมีการสำรวจขั้วโลกทางดาวเทียมในปี 2521
เดิมทีนั้นแผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรแอนตาร์กติกมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นเล็กน้อยราว 1% ต่อทุก ๆ 1 ทศวรรษ ตั้งแต่ช่วงปลายทศวรรษ 1970 ซึ่งสวนทางกับแผ่นน้ำแข็งในมหาสมุทรอาร์กติกทางซีกโลกเหนือที่ลดลงอย่างรวดเร็ว อันเป็นผลจากภาวะโลกร้อน
คณะนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็น และห้องปฏิบัติการวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมทางทะเลตอนใต้กว่างตง (จูไห่) ได้ใช้การวิเคราะห์ปริมาณน้ำแข็งในทะเล เพื่อตรวจสอบปริมาณน้ำแข็งในทะเลขั้นต่ำในช่วงฤดูร้อนปี 2565 ซึ่งการวิเคราะห์พบว่า ปริมาณน้ำแข็งในทะเลที่ลดลง ส่วนหนึ่งมีสาเหตุมาจากอามุนด์เซน ซี โลว์ (Amundsen Sea Low) ศูนย์กลางความกดอากาศต่ำที่อยู่ทางตอนใต้สุดของมหาสมุทรแปซิฟิกและนอกชายฝั่งของแอนตาร์กติกาตะวันตก ที่ลดต่ำและหันเหทิศไปทางตะวันตกอย่างผิดปกติ
นายหยางชิงหัว ผู้ร่วมเขียนงานวิจัยจากมหาวิทยาลัยซุนยัตเซ็นกล่าวว่า ปรากฏการณ์นี้น่าจะเกิดจากความแปรปรวนตามธรรมชาติเป็นส่วนใหญ่ และยังไม่สามารถตัดประเด็นภาวะโลกร้อนทิ้งไป หากไม่มีการศึกษาเพิ่มเติม
อย่างไรก็ดี รายงานดังกล่าวสอดคล้องกับข้อมูลจาก ศูนย์ข้อมูลธารน้ำแข็งสากล (the National Sea Ice Data Center) ซึ่ง กรีนพีซ (Greenpeace) องค์กรรณรงค์อิสระด้านสิ่งแวดล้อม ได้นำมาเผยแพร่บนเว็บไซต์ เมื่อวันที่ 3 มี.ค.ที่ผ่านมา โดยระบุว่าในปีนี้(2565) จากข้อมูลดาวเทียมที่บันทึกได้พบว่า ธารน้ำแข็งในมหาสมุทรแอนตาร์กติกจะอยู่ในระดับ “ต่ำที่สุด”
โดยการบันทึกข้อมูลดังกล่าวทำให้เห็นว่า ธารน้ำแข็งรอบ ๆ ทวีปกำลังอยู่ในระดับต่ำที่สุดเป็นประวัติการณ์ จากเดือนมี.ค. 2560 ซึ่งเคยมีพื้นที่ธารน้ำแข็งกว่า 2.1 ล้านตารางกิโลเมตร แต่ปัจจุบัน ข้อมูลเมื่อวันที่ 20 ก.พ.2565 พบว่า พื้นที่ธารน้ำแข็งลดลงเหลือ 1.98 ล้านตารางกิโลเมตรเท่านั้น
ทั้งนี้ การที่ธารน้ำแข็งในมหาสมุทรละลายลงเรื่อย ๆ เป็นสิ่งที่น่ากังวล เพราะผลที่ตามมาจากการเปลี่ยนแปลงในครั้งนี้จะกระทบไปทั่วโลก ส่งผลต่อระบบห่วงโซ่อาหารของสัตว์ทะเลทั้งหมด นอกจากนี้การสำรวจที่ผ่านมาในภูมิภาคแอนตาร์กติกได้ยืนยันแล้วว่า วิกฤตสภาพภูมิอากาศได้ส่งผลกระทบต่อสิ่งมีชีวิตสายพันธุ์สำคัญในภูมิภาคดังกล่าวนี้
ลอว์รา เมลเลอร์ เจ้าหน้าที่โครงการรณรงค์ปกป้องมหาสมุทรของกรีนพีซ กล่าวว่า ในปี 2563 กรีนพีซได้พบว่า ระดับธารน้ำแข็งในอาร์กติกลดลงสู่ระดับต่ำที่สุดเท่าที่เคยมีการบันทึกมา และมาถึงปีนี้ (2565) สถานการณ์ที่เกิดขึ้นทำให้กรีนพีซจำเป็นต้องสร้างเขตคุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลที่ครอบคลุมตั้งแต่ขั้วโลกเหนือไปยังขั้วโลกใต้ “เพราะชีวิตของเราทุกคนขึ้นอยู่กับมหาสมุทรที่อุดมสมบูรณ์ ดังนั้น เราจะต้องปกป้องมหาสมุทรเพื่อปกป้องชีวิตเราด้วย”
ในเวลาเพียงแค่ 20 ปี ภูมิภาคแอนตาร์กติกต้องเผชิญกับความผันผวนของระดับธารน้ำแข็งในมหาสมุทรอย่างหนัก และในปีนี้การลดลงของระดับธารน้ำแข็งก็เกิดขึ้นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
ขณะที่นักวิทยาศาสตร์กำลังศึกษาถึงความผันผวนที่ซับซ้อนระหว่างอุณหภูมิเฉลี่ยของผิวโลกที่สูงขึ้น กับแนวโน้มของระดับธารน้ำแข็งในทะเล แต่สภาพภูมิอากาศในภูมิภาคก็แปรปรวนอย่างชัดเจน เพราะบางส่วนของพื้นที่แอนตาร์กติกอุ่นขึ้นเร็วกว่าพื้นที่อื่น ๆ ในโลก
รายงานวิจัยระบุว่า ธารน้ำแข็งในเขตแอนตาร์กติกสูญเสียมวลไปเร็วกว่าในช่วงปี 2534 – 2542 ถึง 3 เท่า และมีส่วนทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้นทั่วโลก การที่โลกร้อนขึ้นอย่างรวดเร็วทำให้ฝูงเคย (สัตว์ทะเลจำพวกแพลงก์ตอน) อพยพไปทางใต้มากขึ้น ลดการกระจายตัวของตัวเคยที่เป็นสายพันธุ์สำคัญต่อห่วงโซ่อาหารในแอนตาร์กติก และการสำรวจพื้นที่แอนตาร์กติกของกรีนพีซล่าสุดยังยืนยันว่า เพนกวินสายพันธุ์เจนทูกำลังขยายฝูงไปทางใต้ของภูมิภาคเนื่องจากวิกฤตสภาพภูมิอากาศ
ทั้งนี้ มหาสมุทรที่อุดมสมบูรณ์เป็นกุญแจสำคัญที่ช่วยลดผลกระทบของวิกฤติสภาพภูมิอากาศเพราะมหาสมุทรนั้นช่วยกักเก็บคาร์บอนจากชั้นบรรยากาศ นักวิทยาศาสตร์ต่างยืนยันว่า มีความจำเป็นต้องปกป้องพื้นที่มหาสมุทรอย่างน้อย 30% ในการปกป้องระบบนิเวศทางทะเล และปล่อยให้ระบบฟื้นฟูตัวเองเพื่อรับมือกับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศอย่างกะทันหัน
กรีนพีซยังคงรณรงค์ผลักดันต่อเนื่องในปี 2565 นี้ ให้ผู้นำแต่ละประเทศลงนามในสนธิสัญญาทะเลหลวงขององค์การสหประชาชาติ ซึ่งจะทำให้เกิดพื้นที่คุ้มครองระบบนิเวศทางทะเลที่เชื่อมโยงกันทั่วโลก อุตสาหกรรมทำลายล้างทุกชนิดจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปแสวงหาทรัพยากรในพื้นที่น่านน้ำดังกล่าว