วอลล์สตรีท เจอร์นัล (WSJ) รายงานเมื่อวันศุกร์ (13 พ.ค.) ว่า บิตคอยน์ และ อีเธอเรียม เคยแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ที่ 67,802 ดอลลาร์และ 4,800 ดอลลาร์ตามลำดับในเดือนพ.ย.2564 แต่ ณ วันที่ 13 พ.ค. ที่ผ่านมา บิตคอยน์และอีเธอเรียมร่วงลงแล้ว 58% และ 60% ตามลำดับจากระดับสูงสุด ซึ่งก็ส่งผลให้มูลค่าตลาดคริปโตฯ หายไปกว่า 1 ล้านล้านดอลลาร์ หรือกว่า 34.6 ล้านล้านบาท ในช่วง 6 เดือนที่ผ่านมา
ทั้งนี้ มาร์เก็ตแคปคริปโตฯ ร่วงลงราวครึ่งหนึ่งจากระดับสูงสุดครั้งก่อน โดย ณ วันที่ 13 พ.ค. 2565 มาร์เก็ตแคปคริปโตฯ อยู่ที่ราว 1.2 ล้านล้านดอลลาร์
เหรียญคริปโตฯ ได้พุ่งแตะระดับสูงเป็นประวัติการณ์ในปีที่แล้ว หลังบริษัทเทสลาทุ่มซื้อบิตคอยน์เป็นมูลค่าถึง 1,500 ล้านดอลลาร์ และคอยน์เบส (Coinbase) ซึ่งเป็นแพลตฟอร์มซื้อขายคริปโตฯ ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกาได้เข้าจดทะเบียนในตลาดหุ้นนิวยอร์ก
นอกจากนี้ นักลงทุนยังแห่เข้าซื้อเหรียญคริปโตฯ ต่างๆ รวมถึงบิตคอยน์ เพื่อประกันความเสี่ยงเกี่ยวกับเงินเฟ้อด้วย
อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่นานมานี้ ราคา TerraUSD (UST) ซึ่งเป็นสเตเบิลคอยน์ที่ออกโดย บริษัทเทอร์รา (Terra) ของเกาหลีใต้ได้ทรุดตัวลงอย่างหนัก และส่งผลฉุดตลาดคริปโตฯ โดยรวมให้ร่วงลงตามไปด้วย (อ่านเพิ่มเติม:คริปโตฯกอดคอกันร่วง หลังสเตเบิลคอยน์ UST ทรุดหนัก นักลงทุนแห่เทขาย )
ในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา บิตคอยน์ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปอันดับหนึ่งในตลาดคริปโตฯ ดิ่งลง 16.54%, อีเธอเรียมซึ่งมีมูลค่าตลาดสูงสุดอันดับ 2 ร่วงลง 22.96% และไบแนนซ์ คอยน์ ซึ่งมีมาร์เก็ตแคปสูงสุดอันดับ 5 ร่วง 22.23%
นอกจากนี้ การที่ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในเชิงรุกเพื่อสกัดเงินเฟ้อที่สูงสุดในรอบ 40 ปีนั้น ได้กระตุ้นให้บรรดานักลงทุนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ซึ่งรวมถึงบรรดาเงินคริปโตฯ และหุ้นออกจากพอร์ตการลงทุนด้วย