นายรอน ไวเดน ประธานคณะกรรมการด้านการเงินแห่งวุฒิสภาสหรัฐ วางแผนจะเสนอกฎหมายเรียกเก็บภาษีส่วนเพิ่ม (surtax) จากกำไรส่วนเกินของบริษัทน้ำมัน โดยจะเรียกเก็บภาษีดังกล่าวในอัตรา 21% จากบริษัทน้ำมันและก๊าซที่มีรายได้ต่อปีมากกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ และบริษัทที่มีกำไรมากกว่า 10% จะต้องจ่ายภาษีดังกล่าว
ข้อเสนอของนายไวเดนข้างต้นนี้ แตกต่างจากเจ้าหน้าที่รายอื่น ๆ เนื่องจากเขาเสนอให้เรียกเก็บภาษีจากอัตรากำไร ไม่ใช่ราคาน้ำมัน
นายไวเดนอธิบายว่า ขณะที่ชาวอเมริกันต้องจ่ายเงินมากขึ้นในการเติมน้ำมันเชื้อเพลิง บริษัทน้ำมันรายใหญ่ต่างก็กอบโกยกำไรสูงขึ้นเป็นประวัติการณ์ รวมทั้งให้ผลประโยชน์แก่บรรดาซีอีโอ และกลุ่มผู้ถือหุ้นด้วยการซื้อหุ้นคืนจำนวนมาก ไม่เพียงเท่านั้น บริษัทเหล่านี้ยังใช้ช่องโหว่ของกฎเกณฑ์ด้านภาษี (tax code) เพื่อนำเงินไปใช้จ่ายในด้านอื่น ๆ โดยไม่ต้องเสียภาษีอีกด้วย
ทั้งนี้ ข้อเสนอการเรียกเก็บภาษีของนายไวเดนเป็นหนึ่งในปัจจัยที่ส่งผลให้ราคาน้ำมันดิบ WTI ร่วงลง 2 ดอลลาร์ หรือ 1.65% ปิดที่ 118.93 ดอลลาร์/บาร์เรลในการซื้อขายที่ตลาดนิวยอร์กเมื่อวันอังคารที่ผ่านมา (14 มิ.ย.)
รายงานข่าวระบุว่า เมื่อวันศุกร์ที่ 10 มิ.ย. ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐเปิดเผยว่า รัฐบาลของเขากำลังดำเนินการทุกวิถีทางที่สามารถจะทำได้เพื่อรับมือกับปัญหาเงินเฟ้อ โดยเขากล่าวโทษบริษัทน้ำมันและบริษัทเดินเรือว่าเป็นตัวการที่ทำให้ราคาสินค้าพุ่งขึ้น หลังจากการเปิดเผยข้อมูลดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เมื่อเดือนพ.ค. ของสหรัฐที่แตะระดับสูงสุดในรอบ 40 ปีที่อัตรา 8.6%
ปธน.ไบเดนยังกล่าวด้วยว่า บริษัทน้ำมันจงใจไม่เพิ่มการผลิตเพื่อรักษาราคาน้ำมันไว้ที่ระดับสูง พร้อมกับวิพากษ์วิจารณ์บริษัทน้ำมันที่ใช้เงินหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อซื้อคืนหุ้นของบริษัทว่า การดำเนินการดังกล่าวนั้น ควรจะต้องถูกเก็บภาษีด้วย