ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐอเมริกา ลงนามแล้ววานนี้ (9 ส.ค.) ใน กฎหมาย CHIPS and Science Act ซึ่งมีเป้าหมายกระตุ้นศักยภาพทางการแข่งขันของ สหรัฐ ต่อประเทศ จีน ด้วยการจัดสรรงบประมาณหลายพันล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุน การผลิตชิปคอมพิวเตอร์ และการวิจัยด้านเทคโนโลยี
ในระหว่างพิธีลงนามเมื่อวันอังคาร (9 ส.ค.) ปธน.ไบเดนประกาศว่า สหรัฐต้องเป็นผู้นำโลกในด้านการผลิตชิปคอมพิวเตอร์สมัยใหม่ผ่านกฎหมายฉบับดังกล่าว และ นี่คือการลงทุนครั้งสำคัญที่สุดของสหรัฐในยุคสมัยนี้ ซึ่งไม่เพียงจะช่วยสร้างงาน และกระตุ้นเศรษฐกิจ แต่ยังเป็นการปกป้องความมั่นคงแห่งชาติของสหรัฐอเมริกาด้วย
ผู้นำสหรัฐกล่าวในช่วงหนึ่งว่า แม้ว่ารัฐบาลจีนได้พยายามล็อบบี้ภาคธุรกิจในอเมริกาให้ต่อต้านกฎหมายฉบับนี้ อย่างไรก็ตาม ร่างกฎหมาย CHIPS and Science Act มูลค่า 280,000 ล้านดอลลาร์ ก็สามารถผ่านการลงมติของสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐด้วยคะแนน 243 - 187 และผ่านวุฒิสภาด้วยคะแนน 64-33 เสียง
ทั้งนี้ กฎหมาย CHIPS and Science Act หรือที่เรียกกันสั้นๆว่า CHIPS Act จะรวมถึงการลงทุน 52,000 ล้านดอลลาร์เพื่อสนับสนุนการวิจัยและการผลิตชิปคอมพิวเตอร์ในสหรัฐ ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่า จะช่วยเพิ่มความสามารถใการแข่งขันของสหรัฐกับประเทศผู้ครองตลาดในขณะนี้ คือ จีน ไต้หวัน และเกาหลีใต้
หลังจากกฎหมายฉบับนี้ผ่านรัฐสภา ทำเนียบขาวเปิดเผยว่า บริษัทไมครอน (Micron) ผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์รายใหญ่ของสหรัฐจะประกาศแผนลงทุน 40,000 ล้านดอลลาร์เพิ่มเพิ่มปริมาณการผลิต ขณะที่บริษัทควอลคอมม์ (Qualcomm) และ โกลบอลฟาวน์ดรีส์ (GlobalFoundries) ก็ประกาศเตรียมขยายการลงทุนด้วยการสร้างโรงงานผลิตชิปคอมพิวเตอร์ในรัฐนิวยอร์ก มูลค่า 4,200 ล้านดอลลาร์
รายงานข่าวของวีโอเอ สื่อใหญ่ของสหรัฐระบุว่า จากรายงานของสมาคมอุตสาหกรรมเซมิคอนดักเตอร์ (Semiconductor Industry Association) นั้น ส่วนแบ่งของสหรัฐในตลาดชิปคอมพิวเตอร์โลก ได้ลดลงจาก 37% เมื่อปีค.ศ. 1990 เหลือเพียง 12% ในปัจจุบัน (2022) เหตุผลหลักเป็นเพราะรัฐบาลประเทศอื่นๆ ต่างเสนอผลประโยชน์จูงใจให้กับบรรดาผู้ผลิตชิปคอมพิวเตอร์ในประเทศนั้น ๆ
รายงานดังกล่าวระบุว่า ปัจจุบัน จีนครองส่วนแบ่งสูงสุดในตลาดชิปคอมพิวเตอร์โลกที่ 24% รองลงมาคือ ไต้หวัน (21%) เกาหลีใต้ (19%) และญี่ปุ่น (13%) ตามลำดับ
ข้อมูลอ้างอิง
Biden Signs Semiconductor Bill Boosting US Competitiveness
Biden, Democrats bet on long-term goals for short-term boost