ธนาคารโลก หรือ เวิลด์แบงก์ ปรับประมาณการณ์ การขยายตัวทางเศรษฐกิจ (GDP) ของ ประเทศไทย ปีนี้ (2565) จากเดิมที่คาดการณ์ไว้ 2.9% เป็น 3.1% หลังภาคการบริโภค การท่องเที่ยว และการส่งออกฟื้นตัว
อย่างไรก็ตาม ไทยยังคงได้รับผลกระทบจากการชะงักงันของห่วงโซ่อุปทาน (Supply Chain Disruption) ซึ่งประเทศไทยจะได้รับผลกระทบมากกว่าประเทศอื่นๆ โดยเฉพาะสินค้ายานยนต์
ธนาคารโลกคาดการณ์ว่า เศรษฐกิจไทยจะเติบโตที่อัตรา 4.1% ในปีหน้า (2566)
รายงานของธนาคารโลกระบุว่า ภาครัฐได้มีการตอบรับมาตรการการด้านคลังถ้วนหน้า ทั้งเรื่องหนี้ครัวเรือน ปัญหาเงินเฟ้อ และอัตราดอกเบี้ยที่เพิ่งเริ่มปรับขึ้น ในส่วนของค่าเงินบาทที่อ่อนค่าเช่นเดียวกับสกุลเงินอื่นๆ ในภูมิภาค มาจากแรงกดดันของเงินเฟ้อ และผลกระทบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยเฉพาะสหรัฐอเมริกาที่ทำให้สกุลเงินดอลลาร์แข็งค่า
ธนาคารโลกมองว่า ประเทศกำลังพัฒนาส่วนใหญ่ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก จะฟื้นตัวในปีนี้ หลังจากที่ต้องเจอผลกระทบของโควิด-19 ในขณะที่ประเทศจีนสูญเสียพลวัตรการขับเคลื่อนเศรษฐกิจ เนื่องจากยังคงมาตรการควบคุมโควิดเข้มงวดอย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ เศรษฐกิจทั่วทั้งภูมิภาคเอเชีย อาจได้รับผลกระทบจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก อุปสงค์ หนี้ที่เพิ่มขึ้น และการแก้ไขเศรษฐกิจระยะสั้น เพื่อเตรียมรับมือกับราคาอาหารและเชื้อเพลิงที่เพิ่มขึ้น
สำหรับคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก ไม่รวมประเทศจีน คาดว่าในปี 2565 จะเร่งขึ้นเป็น 5.3% จากในปี 2564 ที่โตเพียง 2.6%
ในส่วนของประเทศจีน ก่อนหน้านี้ จีนเป็นผู้นำการฟื้นตัวในภูมิภาค คาดว่าในปี 2565 จะเติบโตเพียง 2.8% ซึ่งลดลงมากจากปี 2564 ที่ GDP จีนโตในอัตรา 8.1% สำหรับภูมิภาคโดยรวมคาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงเหลือ 3.2% ในปีนี้ จาก 7.2% ในปี 2564 ก่อนที่จะเร่งขึ้นเป็น 4.6% ในปี 2566
การเติบโตในภูมิภาคเอเชียตะวันออกและแปซิฟิกส่วนใหญ่ ได้รับแรงหนุนจากอุปสงค์ภายในประเทศที่ฟื้นตัว จากการผ่อนคลายนโยบายที่เกี่ยวข้องกับโควิด และการเติบโตของภาคการส่งออก
"การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก เริ่มส่งผลกระทบต่อความต้องการส่งออกสินค้าโภคภัณฑ์ในภูมิภาค และอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นในต่างประเทศ ก็ได้กระตุ้นการขึ้นอัตราดอกเบี้ย ซึ่งจะทำให้ทำให้เกิดการไหลออกของเงินทุนและภาระหนี้สูงในบางประเทศในเอเชียตะวันออกและแปซิฟิก" รายงานของธนาคารโลกระบุ