สำนักข่าวซีเอ็นบีซีรายงานว่า ประธานาธิบดีไบเดน ได้วิพากษ์วิจารณ์บริษัทน้ำมันว่า สามารถทำกำไรได้สูงเป็นประวัติการณ์ ในขณะที่ผู้บริโภคต้องใช้ชีวิตอย่างลำบากเนื่องจากราคาน้ำมันที่สูงขึ้น โดยข้อมูลจากสมาคมยานยนต์อเมริกัน (AAA) ระบุว่า ราคาน้ำมันเบนซิน ณ วันจันทร์ที่ 31 ต.ค.อยู่ที่ระดับ 3.76 ดอลลาร์/แกลลอน ซึ่งแม้ว่าลดลงจากระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่มากกว่า 5 ดอลลาร์ในเดือนมิ.ย. แต่ตัวเลขดังกล่าวยังสูงกว่าระดับของปีที่แล้ว
"กำไรของบริษัทเหล่านี้คือลาภลอยที่ได้จากสงคราม" ปธน.ไบเดนกล่าว โดยเขาหมายถึงกำไรของบริษัทน้ำมันที่ได้จากราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นหลังจากรัสเซียส่งกำลังทหารเข้าทำสงครามในยูเครน
"หากพวกเขาไม่ดำเนินการปรับลดราคาน้ำมัน พวกเขาจะต้องจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น จากกำไรส่วนเกินที่พวกเขาได้รับ" ปธน.ไบเดนกล่าว
ในขณะที่เหลือเวลาเพียง 8 วัน ก่อนที่จะถึงวันเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐนั้น ถ้อยแถลงจากทำเนียบขาว มักจะมุ่งเน้นไปที่การส่งสัญญาณต่อสาธารณชนว่า พรรคเดโมแครตกำลังเดินหน้าฟื้นฟูเศรษฐกิจ และกล่าวโทษพรรครีพับลิกันว่าทำผลงานย่ำแย่ โดยประเด็นเงินเฟ้อและเศรษฐกิจเป็นสองประเด็นหลักที่ผู้มีสิทธิ์เลือกตั้งให้ความสนใจ หลังจากที่ผู้บริโภคได้รับผลกระทบอย่างหนักจากการพุ่งขึ้นของราคาน้ำมันเบนซินในปีนี้
อย่างไรก็ดี การเรียกเก็บภาษีครั้งใหม่จากกำไรของบริษัทน้ำมันนั้น จำเป็นต้องได้รับอนุมัติจากสภาคองเกรส ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นเรื่องยากที่แผนการดังกล่าวจะผ่านความเห็นชอบ เนื่องจากพรรคเดโมแครตครองเสียงข้างมากในสภาคองเกรสเพียงเล็กน้อยเท่านั้น
การเลือกตั้งกลางเทอมของสหรัฐในวันที่ 8 พ.ย.นี้ จะเป็นการเดิมพันครั้งใหญ่ระหว่างพรรคเดโมแครตและพรรครีพับลิกัน โดยจะมีการชิงชัยเก้าอี้ทั้งหมดในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐจำนวน 435 ที่นั่ง รวมทั้งการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภาจำนวน 35 ราย จากทั้งหมด 100 ราย นอกจากนี้ ยังมีการเลือกตั้งผู้ว่าการรัฐใน 39 มลรัฐ
รวมทั้งการเลือกตั้งเจ้าหน้าที่ท้องถิ่นอีกจำนวนมาก ซึ่งหากพรรครีพับลิกันคว้าชัยชนะเหนือพรรคเดโมแครต ก็จะทำให้การผ่านกฎหมายต่าง ๆ รวมทั้งมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของประธานาธิบดีโจ ไบเดน เป็นไปอย่างยากลำบาก ท่ามกลางคะแนนนิยมที่ตกต่ำของปธน.ไบเดนในขณะนี้
ทั้งนี้ ผลการสำรวจของ RealClearPolitics พบว่า พรรครีพับลิกันจะสามารถครองเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ หลังการเลือกตั้งกลางเทอม จากปัจจุบันที่พรรคเดโมแครตมีเสียงข้างมากอยู่เล็กน้อย ส่วนการเลือกตั้งในวุฒิสภาจะเป็นไปอย่างสูสีระหว่างพรรคเดโมแครตและรีพับลิกัน ซึ่งก่อนการเลือกตั้งทั้งสองพรรคมีคะแนนเสียงเท่ากันอยู่ที่ 50-50