องค์การการศึกษา วิทยาศาสตร์และวัฒนธรรมแห่งสหประชาชาติ (United Nations Educational, Scientific and Cultural Organization) หรือ ยูเนสโก (UNESCO) ประกาศให้ เมืองโอเดสซา (Odesa หรือ Odessa) ที่ตั้งอยู่ชายฝั่งทะเลดำทางภาคตะวันตกเฉียงใต้ของ ประเทศยูเครน เป็น “เมืองมรดกโลก ที่กำลังตกอยู่ในภาวะอันตราย” เมื่อวันที่ 25 ม.ค.ที่ผ่านมา เพื่อปกป้องคุณค่าสากลที่โดดเด่นของเมืองแห่งนี้
สถานะดังกล่าวได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมของเมืองโอเดสซา ที่กำลังถูกคุกคามนับตั้งแต่ที่รัสเซียเริ่มปฏิบัติการทางทหารส่งกองกำลังบุกเข้าสู่ยูเครนเมื่อวันที่ 24 ก.พ. ที่ผ่านมา (2565) สถานะดังกล่าวจะทำให้เมืองนี้สามารถเข้าถึงความช่วยเหลือทางการเงินและทางเทคนิคระหว่างประเทศได้
ในแถลงการณ์ของยูเนสโก ที่ประกาศในกรุงปารีส ประเทศฝรั่งเศส นางออเดรย์ อาซูเลย์ ผู้อำนวยการยูเนสโก กล่าวว่า เมืองโอเดสซา ซึ่งเป็นเมืองเสรี เป็นเมืองของโลก และเป็นเมืองท่าเรือในตำนาน ได้สร้างชื่อเสียงในด้านภาพยนตร์ วรรณกรรม และศิลปะมาหลายยุคสมัย
บัดนี้ ในขณะที่สงครามยังคงดำเนินอยู่ การจารึกให้โอเดสซาเป็นเมืองมรดกโลกจะสะท้อนถึงความมุ่งมั่นร่วมกันของประชาคมโลก ในการที่จะปกป้องเมืองนี้จากการทำลายล้างที่มีแนวโน้มเพิ่มมากขึ้น
ข่าวดีนี้ ทำให้ประธานาธิบดีโวโลดิเมียร์ เซเลนสกี ผู้นำยูเครน ออกมาแถลงในวันเดียวกันว่า การตัดสินใจของยูเนสโกซึ่งเป็นหน่วยงานภายใต้องค์การสหประชาชาติ (ยูเอ็น) จะช่วยชาวยูเครนในการปกป้องเมืองโอเดสซาเอาไว้
ทั้งนี้ การอภิปรายของยูเนสโกเกี่ยวกับเมืองโอเดสซาใช้เวลานานหลายชั่วโมง หลังจากที่ตัวแทนของรัสเซียพยายามเลื่อนการลงมติ ซึ่งไม่ประสบความสำเร็จ เพราะในการลงมติของคณะกรรมการมรดกโลกที่ประกอบด้วยสมาชิก 21 ประเทศ ปรากฏว่า มีเสียงสนับสนุนให้โอเดสซาเป็นเมืองมรดกโลกที่อยู่ในภาวะอันตราย 6 เสียง ไม่เห็นด้วย 1 เสียง และงดออกเสียง 14 เสียง
ทำความรู้จักเมืองโอเดสซา “ไข่มุกทะเลดำ”
ถึงแม้เมืองโอเดสซา จะเป็นเมืองใหญ่อันดับสาม และเป็นศูนย์กลางการท่องเที่ยวที่สำคัญของยูเครน แต่สงครามที่เกิดขึ้นก็ได้เปลี่ยนแปลงทุกสิ่งอย่าง ศูนย์กลางวัฒนธรรมของเมืองถูกระเบิดทำลายสร้างความเสียหายให้อาคารหลายแห่งทั่วทั้งเมือง เมื่อทะเลดำกลายเป็นสมรภูมิรบ และทุ่นระเบิดในทะเลยังคงถูกซัดเข้าชายฝั่งของเมืองโอเดสซาที่ได้ชื่อว่า “เมืองไข่มุกทะเลดำ” หรือ (Pearl of the Black Sea) ในตำนาน
ที่ได้รับฉายาเช่นนั้น เป็นเพราะ โอเดสซาเป็นเมืองศูนย์กลางทางประวัติศาสตร์ และเป็นเมืองท่าทางยุทธศาสตร์บนชายฝั่งทะเลดำของยูเครนมาตั้งแต่ยุคอดีต เมืองนี้เคยเป็นที่ตั้งถิ่นฐานของชาวกรีกยุคโบราณที่อพยพมาเมื่อย้อนไปนานนับศตวรรษ ทั้งยังเป็นหนึ่งในสมรภูมิสำคัญในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง และจนมาถึงปัจจุบันเมืองโอเดสซาก็ยังคงมีความสำคัญเป็นที่ตั้งของฐานทัพเรือยูเครน และยังมีท่าเรือเชิงพาณิชย์ขนาดใหญ่ ประกอบด้วยท่าเรือคอนเทนเนอร์ที่ใหญ่ที่สุดในประเทศยูเครน จึงมีความสำคัญทางด้านการค้าและโลจิสติกส์ด้วย
ด้วยความเป็นเมืองท่าชายทะเลที่มีชายหาดทอดยาว และประวัติศาสตร์อันยาวนาน โอเดสซาจึงเป็นเมืองคลาสสิคแวดล้อมด้วยบรรยากาศและสถาปัตยกรรมที่ทรงเสน่ห์ย้อนยุค มีโรงอุปรากรและโรงละครบัลเลต์ โรงอุปรากรในโอเดสซาเป็นหนึ่งในโรงอุปรากรที่ใหญ่ที่สุดในโลก
ก่อนที่จะเกิดสงครามเมื่อเดือนก.พ.ที่ผ่านมา ที่นี่เป็นแหล่งท่องเที่ยวยอดนิยมแห่งหนึ่งในยูเครน
น่าเสียดายที่ไฟสงครามทำให้เมืองที่รุ่มรวยด้วยมรดกทางวัฒนธรรมแห่งนี้ ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ย่ำแย่ โดยเฉพาะในเดือนธ.ค.ที่ผ่านมา เป็นช่วงเวลาที่เมืองโอเดสซาถูกรัสเซียระดมโจมตีอย่างหนัก ประชาชนพยายามป้องกันอาคารและสถานที่สำคัญในบริเวณศูนย์กลางทางวัฒนาธรรมของเมืองด้วยการนำกระสอบทรายและเครื่องกีดขวางมาปิดล้อมสถานที่เหล่านี้เอาไว้ จนกลายเป็น “ภาพเชิงสัญลักษณ์” ที่สำคัญอย่างหนึ่งในช่วงเวลานี้
ยังมีแหล่งมรดกโลกในยูเครนอีก 7 แห่ง
นอกจากศูนย์กลางประวัติศาสตร์เมืองโอเดสซาที่เป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรมแห่งล่าสุดแล้ว แหล่งมรดกโลกในประเทศยูเครนที่ได้รับการขึ้นทะเบียนโดยยูเนสโกก่อนหน้านี้ ยังมีอีก 7 แหล่ง แบ่งเป็นแหล่งมรดกโลกทางวัฒนธรรม 6 แหล่ง และมรดกโลกทางธรรมชาติ 1 แหล่ง ได้แก่