ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐได้จัดการประชุมร่วมกับนายเควิน แมคคาร์ธี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐ รวมทั้งแกนนำในสภาคองเกรสในวันอังคาร (16 พ.ค.) เพื่อหารือเกี่ยวกับการเพิ่มเพดานหนี้สหรัฐ ซึ่งเป็นการเจรจาครั้งที่ 2 หลังจากที่การเจรจาครั้งแรกในสัปดาห์ที่แล้วไม่มีความคืบหน้า
โดยหลังจากการเจรจาซึ่งใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเสร็จสิ้นลง นายแมคคาร์ธีกล่าวกับผู้สื่อข่าวว่า แม้ทั้ง 2 ฝ่ายยังไม่สามารถตกลงกันได้เกี่ยวกับการปรับเพิ่มเพดานหนี้ในการประชุมครั้งนี้ แต่ก็มีความเป็นไปได้ที่จะบรรลุข้อตกลงภายในปลายสัปดาห์นี้ และไม่ใช่เรื่องยากที่ทำเนียบขาวและสภาคองเกรสจะสามารถทำข้อตกลงร่วมกัน
แม้ว่าพรรคเดโมแครตมีมุมมองค่อนข้างเป็นลบต่อกรอบเวลาในการบรรลุข้อตกลง แต่ทำเนียบขาวมองว่าการประชุมในครั้งนี้เป็นไปอย่างสร้างสรรค์และตรงไปตรงมา ขณะที่ปธน.ไบเดนกล่าวว่า ผู้นำที่เข้าร่วมเจรจาในครั้งนี้สามารถบรรลุฉันทามติร่วมกันว่าจะต้องไม่เกิดการผิดนัดชำระหนี้ และเศรษฐกิจสหรัฐจะต้องไม่เผชิญกับภาวะถดถอย
อย่างไรก็ดี ปธน.ไบเดน กล่าวว่า เขารู้สึกผิดหวังที่พรรครีพับลิกันจะไม่พิจารณาแนวทางเรื่องการปรับเพิ่มรายได้ของรัฐบาล โดยการจัดเก็บภาษีเพิ่มขึ้นจากบุคคลที่ร่ำรวยและบริษัทเอกชนนั้น จะช่วยสนับสนุนการใช้จ่ายในโครงการต่าง ๆ ที่เป็นส่วนสำคัญของงบประมาณประจำปี 2567 ของทำเนียบขาว
ที่ผ่านมานั้น สมาชิกพรรครีพับลิกันปฏิเสธที่จะโหวตสนับสนุนการปรับเพิ่มเพดานหนี้ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 31.4 ล้านล้านดอลลาร์ นอกเสียจากว่าคณะบริหารของปธน.ไบเดนและพรรครีพับลิกันตกลงที่จะปรับลดการใช้จ่ายในงบประมาณของรัฐบาลกลาง แต่แม้ว่าพรรครีพับลิกันจะกำหนดเงื่อนไขดังกล่าว นายแมคคาร์ธีกล่าวภายหลังการประชุมว่า "เรามั่นใจว่าเราจะไม่ผิดนัดชำระหนี้"
ทั้งนี้ รัฐบาลสหรัฐมีความเสี่ยงที่จะเผชิญกับการผิดนัดชำระหนี้อย่างเร็วที่สุดในวันที่ 1 มิ.ย.นี้ หากสภาคองเกรสไม่อนุมัติการปรับเพิ่มเพดานหนี้ ขณะที่บรรดานักเศรษฐศาสตร์กังวลว่าวิกฤตการณ์ดังกล่าวจะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐเข้าสู่ภาวะถดถอย
ทางด้านนายนีล แบรดลีย์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารด้านนโยบายของสมาคมหอการค้าสหรัฐ ได้ออกมาขานรับความคืบหน้าในการเจรจาปรับเพิ่มเพดานหนี้ โดยกล่าวว่า "เราเชื่อว่าพรรคเดโมแครตและรีพับลิกันจะสามารถบรรลุข้อตกลงเพื่อปรับเพิ่มเพดานหนี้ และดำเนินนโยบายปฏิรูปที่สำคัญเพื่อฟื้นฟูสถานะการคลังของประเทศ"