เศรษฐกิจของหลายประเทศใน ภูมิภาคเอเชีย โดยเฉพาะ อินเดีย และ อินโดนีเซีย ซึ่งอยู่ใน กลุ่มตลาดเกิดใหม่ มีแนวโน้มที่จะได้รับ ผลกระทบหนักที่สุด จากภาวะไร้เสถียรภาพด้านภูมิรัฐศาสตร์ ราคาน้ำมันที่แพงขึ้น และการแข็งค่าของดอลลาร์สหรัฐ
สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า นักเศรษฐศาสตร์ได้แสดงความกังวลว่าประเทศกำลังพัฒนาในภูมิภาคเอเชียจะเผชิญกับ ผลกระทบจากสงคราม ระหว่าง อิสราเอลและปาเลสไตน์กลุ่มฮามาส ขณะที่เจ้าหน้าที่กำหนดนโยบายของประเทศกลุ่มนี้กำลังประเมินผลกระทบของอุปทานน้ำมันและเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ราคาน้ำมันดิบเบรนท์พุ่งขึ้นเกือบ 20% ในช่วงเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา ขณะที่นักเศรษฐศาสตร์ในโพลสำรวจของบลูมเบิร์กคาดการณ์ว่า ราคาน้ำมันเบรนท์อาจพุ่งขึ้นแตะระดับ 150 ดอลลาร์/บาร์เรล หากสงครามตะวันออกกลางขยายตัวเป็นวงกว้างและมีอิหร่านเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย โดยอิหร่านเป็นผู้สนับสนุนทั้งอาวุธและเงินให้กับกลุ่มฮามาส ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่สหรัฐอเมริกาและสหภาพยุโรป (อียู) ขึ้นบัญชีดำในฐานะกลุ่มก่อการร้าย
นอกจากนี้ อิหร่านยังให้การสนับสนุนกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธในเลบานอนด้วย
ลาวันญา เวนคาเทสราวัน นักเศรษฐศาสตร์จากบริษัท Oversea-Chinese Banking กล่าวว่า สงครามระหว่างอิสราเอลและฮามาส ถือเป็นการซ้ำเติมเศรษฐกิจโลกที่ได้รับผลกระทบอยู่แล้วจากสงครามระหว่างรัสเซียและยูเครน รวมทั้งสถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสองมหาอำนาจอย่างสหรัฐและจีน
"หากราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นเป็นเวลานาน เราก็จะเห็นอินเดีย ไทย ฟิลิปปินส์ อินโดนีเซีย และอีกหลายประเทศเผชิญกับภาวะเปราะบางด้านการค้า นอกจากนี้ การขาดดุลบัญชีเดินสะพัดและการขาดดุลการค้า จะยิ่งส่งผลให้เม็ดเงินไหลออกจากประเทศเหล่านี้มากขึ้นด้วย" เวนคาเทสราวันกล่าว
เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา (13 ต.ค.) ราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) พุ่งขึ้น 4.78 ดอลลาร์ หรือ 5.8% ปิดที่ 87.69 ดอลลาร์/บาร์เรล และราคาน้ำมันเบรนท์ทะยานขึ้น 4.89 ดอลลาร์ หรือ 5.7% ปิดที่ 90.89 ดอลลาร์/บาร์เรล เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า สงครามในตะวันออกกลางอาจขยายวงกว้าง และอาจจะส่งผลกระทบต่อการผลิตน้ำมัน
นอกจากนี้ ราคาน้ำมันยังพุ่งขึ้นหลังจากสหรัฐประกาศใช้มาตรการคว่ำบาตรครั้งแรกกับเจ้าของเรือที่บรรทุกน้ำมันของรัสเซียที่มีราคาสูงกว่าราคาของกลุ่ม G7 ที่ระดับ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล ซึ่งเป็นความพยายามที่จะปิดช่องโหว่ในกลไกที่ออกแบบมาเพื่อลงโทษรัสเซียที่บุกโจมตียูเครน
ก่อนหน้านี้ นายเจมี ไดมอน ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของธนาคารเจพีมอร์แกน เชส ได้ออกมาเตือนว่า สถานการณ์ในขณะนี้ อาจทำให้เศรษฐกิจโลกอยู่ในช่วงเวลาที่ “อันตรายที่สุด” ในรอบหลายสิบปี ไม่ว่าจะเป็นสงครามในยูเครนที่ยังคงดำเนินอยู่ รวมทั้งการต่อสู้ระหว่างกลุ่มฮามาสและกองทัพอิสราเอลที่ยืดเยื้อมาจนเข้าสู่สัปดาห์ที่สองแล้วในขณะนี้ สถานการณ์ทั้งหมดที่กล่าวมา อาจส่งผลกระทบต่อตลาดพลังงาน ตลาดอาหาร การค้าโลก และความสัมพันธ์ด้านภูมิรัฐศาสตร์ของโลก
นอกเหนือจากข้อพิพาททางทหารแล้ว นายไดมอนยังระบุถึงปัญหาหนี้สินและการขาดดุลการคลังของรัฐบาลสหรัฐ รวมทั้งความเสี่ยงที่เกิดจากเงินเฟ้อและอัตราดอกเบี้ยที่ยังคงอยู่ในระดับสูง ซึ่งจะส่งผลต่อเศรษฐกิจสหรัฐและเศรษฐกิจโลกในภาพรวม “ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยังตรึงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ระดับสูง และยังคงปรับลดการถือครองพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐและตราสารหนี้ที่มีสินเชื่อที่อยู่อาศัยเป็นหลักประกันการจำนอง (MBS) ซึ่งล้วนเป็นกระบวนการที่ทำให้สภาพคล่องในระบบ ปรับตัวลดลง” นายไดมอนกล่าว
ข้อมูลอ้างอิง