ประธานาธิบดี โจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ให้การต้อนรับ ประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำจีน ที่คฤหาสน์ฟิโลลี ซึ่งอยู่ห่างจาก นครซานฟรานซิสโก ไปทางใต้ประมาณ 48 กิโลเมตร ก่อนที่ทั้งคู่จะไปเข้าร่วม การประชุมสุดยอดความร่วมมือทางเศรษฐกิจเอเชีย-แปซิฟิก (เอเปค) ครั้งที่ 30 ที่สหรัฐอเมริกาเป็นเจ้าภาพ
ในคำแถลงต้อนรับ ปธน.ไบเดนกล่าวว่า สหรัฐและจีนต้องรับประกันว่าการแข่งขันระหว่างสองประเทศจะไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง และจะจัดการความสัมพันธ์ระหว่างประเทศอย่างมีความรับผิดชอบ ขณะที่ปธน.สี กล่าวกับผู้นำสหรัฐว่า มีเรื่องราวต่างๆเกิดขึ้นมากมายนับตั้งแต่การพบกันครั้งล่าสุดระหว่างเขาทั้งสองเมื่อปีที่แล้ว (ในการประชุมกลุ่ม G20) ที่เกาะบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย โดยโลกได้ผ่านพ้นจากยุคแห่งการแพร่ระบาดของโควิดแล้ว แต่ก็ยังได้รับผลกระทบต่อเนื่องอย่างมหาศาล อีกทั้งเศรษฐกิจโลกก็กำลังฟื้นตัว แต่พลวัตรทางเศรษฐกิจยังคงซบเซา
“สำหรับสองประเทศใหญ่ๆ อย่างจีนและสหรัฐอเมริกา การหันหลังให้กันไม่ใช่ทางเลือก” ผู้นำจีนกล่าว และว่า มันไม่สมเหตุผล ที่ฝ่ายหนึ่งจะปรับปรุงอีกฝ่ายหนึ่ง อีกทั้งความขัดแย้งและการเผชิญหน้าก็ส่งผลที่ตามมาซึ่งไม่อาจยอมรับได้สำหรับทั้งสองฝ่าย ปธน. สีเรียกความสัมพันธ์สหรัฐ-จีนในช่วงเวลานี้ว่า เป็นความสัมพันธ์ทวิภาคีที่สำคัญที่สุดในโลก และทั้งเขาและปธน.ไบเดน ต่างก็แบกรับความรับผิดชอบอันหนักหน่วงสำหรับประชาชนทั้งสอง ต่อโลก และต่อประวัติศาสตร์
ในการพบกันครั้งนี้ ซึ่งใช้เวลาราว 4 ชั่วโมง แม้ทั้งสองผู้นำจะพยายามลดความขัดแย้งระหว่างกัน แต่ความคืบหน้าอย่างชัดเจนและเป็นรูปธรรมอาจต้องรออีกสักระยะหนึ่ง
เจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายตั้งความคาดหวังไว้ต่ำ ขณะที่ไบเดนและสี เตรียมหารือเกี่ยวกับประเด็นไต้หวัน ทะเลจีนใต้ สงครามอิสราเอล-ฮามาส การรุกรานยูเครนของรัสเซีย เกาหลีเหนือ และสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นประเด็นที่ผู้นำทั้งคู่ไม่สามารถแก้ไขความขัดแย้งที่มีมายาวนานได้
ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่า ผู้นำจีนจะพยายามทำให้การประชุมสุดยอดกับผู้นำสหรัฐเป็นไปอย่างราบรื่น เพื่อแสดงให้คนในประเทศจีนเอง ที่กำลังมีความกังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจและการลงทุนจากต่างประเทศที่ลดน้อยลง ได้เห็นว่า เขาสามารถจัดการกับความสัมพันธ์ระหว่างสองประเทศที่มีเศรษฐกิจใหญ่ที่สุดในโลกได้สำเร็จ
ขณะที่ปธน.ไบเดนพยายามเจรจาโดยตรงกับปธน.สี โดยเดิมพันว่าความสัมพันธ์ส่วนตัวที่เขาสั่งสมมาเป็นเวลาหลายสิบปีกับผู้นำจีนที่ทรงอิทธิพลที่สุดนับตั้งแต่เหมา เจ๋อตุง อาจกอบกู้ความสัมพันธ์ที่เริ่มจะกลายเป็นศัตรูกันมากขึ้น โดยความสัมพันธ์เริ่มถดถอยลงหลังจากสหรัฐสั่งยิงบอลลูนสอดแนมของจีนเมื่อต้นปี และตั้งแต่นั้นมา รัฐบาลปักกิ่งและวอชิงตันก็ได้ปะทะทางการทูตกันอย่างดุเดือด จนเกิดความตึงเครียดระดับนานาชาติในประเด็นต่างๆ รวมทั้งประเด็นไต้หวัน การคว่ำบาตรและการแย่งชิงผลประโยชน์ทางการค้า
ผู้นำสหรัฐได้กล่าวกับผู้นำจีนและคณะผู้แทนว่า ขอให้สองชาติแข่งขันกันตามครรลองและไม่นำไปสู่ความขัดแย้ง ขณะที่ผู้นำจีนตอบกลับว่า ดาวเคราะห์ดวงนี้มีขนาดใหญ่มากพอสำหรับทั้งสองประเทศที่จะแบ่งปันความสำเร็จ
เป็นที่คาดหมายว่า การประชุมสุดยอดระหว่างผู้นำสหรัฐและจีนในครั้งนี้ ซึ่งหลายคนตั้งตารอคอย จะมีการทำข้อตกลงในการกลับมาประสานความร่วมมือด้านทหารระหว่างกัน รวมทั้งความพยายามในการลดการไหลเวียนของยาเฟนทานิลไปยังสหรัฐอเมริกา นอกจากนี้ ยังอาจมีการหารือเกี่ยวกับความท้าทายระดับโลก รวมถึงการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ปัญญาประดิษฐ์ (เอไอ)และปัญหาสิทธิมนุษยชน