นาย หวังอี้ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของจีน กล่าวข้อความข้างต้นในการแถลงข่าวร่วมกันหลังมีการหารือประจำปีร่วมกับ นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย ที่กระทรวงการต่างประเทศเมื่อวันอาทิตย์ที่ 28 ม.ค. 2567 โดยเสริมว่า การยกเว้นวีซ่าระหว่างไทย-จีน นั้น จะผลักดันการแลกเปลี่ยนระหว่างประชาชนสองประเทศไปสู่ระดับใหม่อย่างแน่นอน
ทั้งนี้ นายหวังอี้ ผู้ดำรงตำแหน่งกรรมการกรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลางพรรคคอมมิวนิสต์จีน ควบตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ กล่าวว่า จีนมองว่าไทยมีความสำคัญเป็นอันดับต้นๆ เสมอมา ในการสานสัมพันธ์ทางการทูตกับประเทศเพื่อนบ้าน
นอกจากนี้ จีนยังชื่นชมความมุ่งมั่นที่แน่วแน่ของไทยต่อหลักการจีนเดียว และการสนับสนุนอย่างแข็งขันของไทยต่อข้อริเริ่มเพื่อการพัฒนาโลก (Global Development Initiative) แผนริเริ่มความมั่นคงโลก (Global Security Initiative) และแผนริเริ่มอารยธรรมระดับโลก (Global Civilization Initiative)
หวังอี้กล่าวว่า ปีหน้า (2568) เป็น วาระครบรอบ 50 ปีการสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตจีน-ไทย โดยครึ่งศตวรรษที่ผ่านมานั้นความสัมพันธ์ทวิภาคีของสองประเทศได้ก้าวผ่านบททดสอบของภูมิทัศน์ระหว่างประเทศที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ และยิ่งแน่นแฟ้นขึ้นทุกวัน
นอกจากการลงนามในความตกลงยกเว้นวีซ่าถาวรระหว่างกันแล้ว ทั้งนายหวัง อี้ และนายปานปรีย์ ยังได้เป็นประธานร่วมในการประชุมกลไกการหารือระหว่างรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศไทย - จีน ครั้งที่ 1 ที่จัดขึ้นตามบันทึกความเข้าใจว่าด้วยการเสริมสร้างความร่วมมือ ระหว่างกระทรวงการต่างประเทศสองฝ่าย ที่ลงนามเมื่อวันที่ 19 ตุลาคมที่ผ่านมา ระหว่างการเยือนจีนอย่างเป็นทางการของนายกรัฐมนตรี
โดยในการประชุมครั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายได้ย้ำความสำคัญของมิตรภาพไทย - จีน และยืนยันที่จะสนับสนุนซึ่งกันและกันในทุกมิติ โดยมุ่งสร้าง “ประชาคมที่มีอนาคตร่วมกันไทย - จีน เพื่อความมั่นคง มั่งคั่ง และยั่งยืนยิ่งขึ้น” พร้อมกันนี้ ยังได้หารือแนวทางในการต่อยอดความร่วมมือด้านต่าง ๆ โดยเฉพาะการค้า รวมถึงการเปิดตลาดสินค้าเกษตร การลงทุน วัฒนธรรม การท่องเที่ยว ความสัมพันธ์ระดับประชาชน การอำนวยความสะดวกด้านความเชื่อมโยง รวมถึงการผลักดันโครงการรถไฟความเร็วสูงไทย - จีน ตลอดจนด้านความมั่นคง ความร่วมมือในเวทีภูมิภาคและระหว่างประเทศ เช่น กรอบความร่วมมือแม่โขง - ล้านช้าง (MLC) อาเซียน และสหประชาชาติ
ทั้งสองฝ่ายยังแลกเปลี่ยนมุมมองเกี่ยวกับสถานการณ์ในภูมิภาคและระหว่างประเทศ ที่มีความสนใจร่วมกันและมีความสำคัญในเชิงภูมิรัฐศาสตร์ เช่น สถานการณ์ในเมียนมา ทั้งนี้ ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องกันว่าความร่วมมือระหว่างไทยกับจีนมีความสำคัญต่อการเสริมสร้างเสถียรภาพและความเจริญก้าวหน้าของภูมิภาคนี้ในภาพรวม
สำหรับการหารือแนวทางการเตรียมการเฉลิมฉลองการครบรอบ 50 ปี การสถาปนาความสัมพันธ์ทางการทูตไทย - จีน ในปี 2568 นั้น ทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องในจัดกิจกรรมทั้งในไทยและจีนและส่งเสริมการมีส่วนร่วมของภาคส่วนต่าง ๆ ทั้งในส่วนกลาง ท้องถิ่น และประชาชนทั้งสองประเทศ
ภายหลังการประชุมฯ รัฐมนตรีทั้งสองได้ลงนามในความตกลงว่าด้วยการยกเว้นการตรวจลงตราซึ่งกันและกันสำหรับผู้ถือหนังสือเดินทางธรรมดาและหนังสือเดินทางกึ่งราชการ ซึ่งจะเริ่มมีผลใช้บังคับตั้งแต่วันที่ 1 มีนาคม 2567 และยังเป็นสักขีพยานการลงนามสัญญาเช่าที่ดินสำหรับสถานกงสุลใหญ่จีน ณ จังหวัดเชียงใหม่ และจังหวัดขอนแก่นด้วย
ในช่วงเช้าวันที่ 29 มกราคม 2567 นายหวัง อี้ และคณะ มีกำหนดจะเข้าเยี่ยมคารวะนายกรัฐมนตรี ณ ทำเนียบรัฐบาล โดยในโอกาสนี้ จะมีการลงนามพิธีสารการส่งออกสินค้าเกษตรจากไทยไปจีน 2 ฉบับ โดยนายหวัง อี้ และคณะ จะเดินทางกลับในช่วงเย็นวันเดียวกัน
ที่มา: สำนักข่าวซินหัว / กระทรวงการต่างประเทศ