นายจูเซ็ปเป้ เด วินเซ็นทิส ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประจำประเทศไทย กล่าวปาฐกถาพิเศษหัวข้อ “การทำงานด้านมนุษยธรรมเพื่อผู้ลี้ภัยท่ามกลางวิกฤติโลก” ภายใน งาน GEPOLITICS 2024 จุดปะทุสงครามใหญ่ พลิกวิกฤติโลก สู่โอกาสประเทศไทย จัดโดยหนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ร่วมกับสื่อในเครือเนชั่น วันนี้ (31 ม.ค.) ย้ำว่า ปัญหาผู้ลี้ภัย ที่เกิดขึ้นในทุกภูมิภาคทั่วโลกนั้น ไม่ใช่เรื่องไกลตัว และนับวันจะมีเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ สร้างแรงกดดันให้กับหน่วยงานช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมอย่าง UNHCR และรัฐบาลนานาประเทศทั่วโลก
สาเหตุที่ปัญหาผู้ลี้ภัยจะเป็นปัญหาที่ขยายตัวและตึงมือมากขึ้นสำหรับสำนักงานข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (The United Nations High Commissioner for Refugees: UNHCR) มีหลายเหตุปัจจัย ซึ่งรวมถึงการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศโลก (climate change) แต่โดยหลักๆแล้ว สาเหตุใหญ่ยังคงเป็นภัยสงครามและข้อพิพาทระหว่างประเทศ ที่บีบบังคับให้ผู้คนต้องอพยพลี้ภัยออกจากบ้านเกิดเมืองนอนไปหาที่พำนักพักพิง-เอาชีวิตรอดในประเทศอื่นๆ
ย้อนไปราว 20 ปีที่แล้วในปี ค.ศ.2003 สถิติจำนวนผู้อพยพลี้ภัยทั่วโลกจากสาเหตุต่างๆ มีราว 17.1 ล้านคนเท่านั้น แต่ 10 ปีให้หลัง ค.ศ. 2013 ก็ขยับเพิ่มจำนวนขึ้นเป็น 51.2 ล้านคน และปีที่ผ่านมา (2023) จำนวนผู้อพยพลี้ภัยทบทวีกว่าเท่าตัวเป็น 114 ล้านคน พวกเขาถูกสถานการณ์ “บีบบังคับ” ให้ต้องอพยพย้ายถิ่นฐาน
“มี 6 ประเทศหลักๆ ที่เป็นประเทศต้นทางของผู้ลี้ภัยในปัจจุบันนี้ ซึ่งเราจะเห็นได้ว่าทุกภูมิภาคในโลกไม่มีที่ใดที่ว่างเว้นจากปัญหาผู้ลี้ภัย” ข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยฯ UNHCR ประจำประเทศไทยกล่าว พร้อมให้รายละเอียดเพิ่มเติมว่า ในจำนวนผู้อพยพ 114 ล้านคนที่เป็นตัวเลขในปี 2023 นั้น มากกว่าครึ่งหรือราว 52% มาจากเพียง 3 ประเทศที่กำลังเผชิญภัยสงคราม คือ
อีก 3 ใน 6 ประเทศต้นทางผู้อพยพหลักๆ ยังได้แก่ เวเนซุเอลา (5.6 ล้านคน) เซาธ์ซูดาน (2.3 ล้านคน) และเมียนมา เพื่อบ้านของไทย 1.3 ล้านคน
“ในสภาวะโลกไร้ระเบียบ (World Disorder) มีผู้คน 1 คนในทุกๆ 73 คนบนโลก ถูกบีบบังคับด้วยสถานการณ์ให้ต้องกลายเป็นผู้อพยพลี้ภัย 15% ของพวกเขาเป็นสตรีและเด็ก พวกเขาต้องอพยพเพื่อความอยู่รอด ในปีที่ผ่านมา (2023) เรามีหน่วยงานของ UNHCR คอยให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมแก่ผู้อพยพลี้ภัยใน 29 ประเทศทั่วโลก เราต้องรับมือกับเหตุฉุกเฉินใหม่ๆด้านผู้ลี้ภัยในทุกๆ 10 วัน นี่คือสถานการณ์ที่ทำให้ภารกิจของเราตึงมือมากขึ้น”
นาย เด วินเซ็นทิส กล่าวว่า ประเทศจุดหมายปลายทางของผู้ลี้ภัยไม่ใช่ว่าจะเป็นประเทศพัฒนาแล้ว เพราะอันที่จริง 70% ของผู้ลี้ภัยทุกวันนี้อยู่ในประเทศกำลังพัฒนาหรือประเทศรายได้ปานกลางซึ่งยอมให้ที่พักพิง รวมทั้งประเทศไทยที่ UNHCR ได้เข้ามาเริ่มทำงานช่วยเหลือผู้ลี้ภัยตั้งแต่ปี ค.ศ. 1975 (พ.ศ. 2518) และได้รับรางวัลโนเบลสาขาสันติภาพเป็นครั้งที่สองในปี 1981 (พ.ศ. 2524) ส่วนหนึ่งเป็นเพราะการทำงานด้านมนุษยธรรมในช่วงวิกฤติผู้ลี้ภัยโดยทางเรือจากสงครามอินโดจีน
“เราทำงานร่วมมือกับรัฐบาลไทยอย่างใกล้ชิดมาหลายยุคสมัยเพื่อให้ความช่วยเหลือผู้อพยพลี้ภัย ซึ่งมาจากประเทศเพื่อนบ้านของไทย ไม่ว่าจะเป็นเวียดนาม กัมพูชา ลาว หรือเมียนมา” ผู้แทนข้าหลวงใหญ่ผู้ลี้ภัยแห่งสหประชาชาติ (UNHCR) ประจำประเทศไทย กล่าวย้ำว่า
สหประชาชาติและรัฐบาลประเทศต่างๆ ไม่สามารถให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมได้ตลอดไป สิ่งที่มุ่งหวังนั้นคือการช่วยเหลือให้ผู้ลี้ภัยได้กลับบ้านเกิดเมืองนอนของพวกเขา แต่ต้องอยู่บนพื้นฐานที่ว่าเมื่อสถานการณ์ต่างๆคลี่คลายและพวกเขาต้องกลับไปอย่างปลอดภัย แต่ขณะนี้ในความเป็นจริง สถานการณ์ยังไม่เป็นเช่นนั้น
“จากสถานการณ์ความไม่สงบที่เกิดขึ้นในเมียนมา ทำให้เกิดผู้อพยพย้ายถิ่นฐานภายในประเทศนับล้านคน และมีผู้อพยพที่จ่ออยู่ในแนวเขตชายแดนติดกับประเทศไทยนับแสนคน เราจึงไม่อาจกล่าวได้เลยว่า เรื่องของผู้อพยพลี้ภัยเป็นเรื่องไกลตัว”
“ดังนั้น สิ่งที่ทำได้และควรต้องทำ คือการช่วยเหลือให้พวกเขา (ผู้อพยพลี้ภัย) มีกลไกทางกฎหมายมารองรับให้สามารถเข้ารับบริการพื้นฐานเพื่อการดำรงชีวิต การเข้าถึงบริการสาธารณสุข และการศึกษา แต่ในขณะเดียวกัน สิ่งที่เป็นหนทางแก้ไขปัญหาผู้อพยพลี้ภัยอย่างแท้จริง คือ การหาทางออกให้กับความขัดแย้งหรือการยุติภาวะสงครามในประเทศต้นทาง ซึ่งนั่นก็ต้องอาศัยการตัดสินใจทางการเมืองเป็นกลไกสำคัญ”