ส่องสินทรัพย์ "ฟรองซัวส์ เบตตองกูร์ เมเยอร์ส” ผู้หญิงที่รวยที่สุดในโลก

05 เม.ย. 2567 | 04:54 น.

“ฟรองซัวส์ เบตตองกูร์ เมเยอร์ส” ทายาทของอาณาจักรธุรกิจ “ลอรีอัล” (L’Oréal) ถูกจัดอันดับเป็นผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลกโดยนิตยสาร “ฟอร์บส์” ติดต่อกันมาเป็นปีที่สี่แล้ว ด้วยมูลค่าสินทรัพย์ในครอบครอง 99,500 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือกว่า 3.66 ล้านล้านบาท

ฟรองซัวส์ เบตตองกูร์ เมเยอร์ส เป็นบุตรสาวคนเดียวของลิเลียน เบตตองกูร์ เจ้าของอาณาจักรธุรกิจแบรนด์เครื่องสำอางชื่อดัง L’Oréal Group ที่เคยครองแชมป์ผู้หญิงที่ร่ำรวยที่สุดในโลกในอดีตเช่นกัน ลิเลียนนั้นเสียชีวิตในปี 2560 ทิ้งทรัพย์สมบัติมหาศาลให้บุตรสาว

แม้ว่าฟรองซัวส์ เบตตองกูร์ เมเยอร์ส ซึ่งเป็นนักเขียนและนักเปียโน จะไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับธุรกิจของมารดาโดยตรง แต่ในฐานะทายาท เธอก็ถือหุ้น L’Oréal Group ในสัดส่วนเกือบ 35% ของบริษัทที่เธอเป็นเจ้าของร่วมกับสามีและลูกชายสองคน

เบตตองกูร์ เมเยอร์ส  ดำรงตำแหน่งรองประธานบริษัท และนั่งในคณะกรรมการบริหารของลอรีอัลมาตั้งแต่ปี 2540 เธอร่ำรวยขึ้น 19,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ (2567) หลังจากที่ราคาหุ้นของลอรีอัลเพิ่มขึ้น 20% ทำให้เธอกลายเป็นผู้หญิงที่ทำกำไรได้มากที่สุดเมื่อเทียบเป็นดอลลาร์สหรัฐ และเมื่อเทียบกับผู้หญิงคนอื่นๆที่มีรายชื่ออยู่ในทำเนียบมหาเศรษฐีโลกในระดับพันล้านขึ้นไปของนิตยสารฟอร์บส์ (Forbes’ World’s Billionaires List) ในปีนี้

จะว่าไปแล้ว เบตตองกูร์ เมเยอร์ส ก็ใกล้จะได้เข้าทำเนียบมหาเศรษฐีโลกระดับแสนล้านดอลลาร์แล้ว ด้วยสินทรัพย์ที่เธอมีอยู่นั้นขาดไปเพียงราว ๆ 500 ล้านดอลลาร์เท่านั้น ในปีนี้ ทำเนียบมหาเศรษฐีแสนล้านดอลลาร์ของฟอร์บส์มีเพียง 14 คน และความมั่งคั่งของเบตตองกูร์ เมเยอร์ส ที่มีอยู่ก็ตามหลังเพียง 14 คนนี้เท่านั้น

ฟรองซัวส์ เบตตองกูร์ เมเยอร์ส ร่ำรวยขึ้น 19,000 ล้านดอลลาร์ในปีนี้ (2567) หลังจากที่ราคาหุ้นของลอรีอัลเพิ่มขึ้น 20%

ฟรองซัวส์ เบตตองกูร์ เมเยอร์ส เป็นมหาเศรษฐีตั้งแต่เกิดเลยก็ว่าได้ เพราะ ยูจีน ชูแลร์ (Eugène Schueller) คุณตาของเธอเป็นผู้ก่อตั้งบริษัท โดยเขาเป็นนักวิจัยที่เริ่มเปิดตัวสินค้าตัวแรกเป็นน้ำยาย้อมผม ซึ่งก็ได้รับความนิยมและทำให้บริษัทเติบโต ขยายไลน์สินค้ามาเรื่อยๆ สู่ยุคของลิเลียน เบตตองกูร์ คุณแม่ของเธอ

ต่อมาภายหลังการเสียชีวิตของลิเลียนในปี 2560 ชื่อของฟรองซัวส์ เบตตองกูร์ เมเยอร์ส ก็ปรากฏในทำเนียบมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์ของฟอร์บส์เป็นครั้งแรกในปี 2561 โดยในปีนั้น เธอมีทรัพย์สินมูลค่าประมาณ 42,200 ล้านดอลลาร์ และนับตั้งแต่นั้นมาจนถึงขณะนี้ ราคาหุ้นของบริษัทก็พุ่งสูงขึ้นแล้ว 150% ทำให้ทรัพย์สินของเธอเพิ่มขึ้นมากกว่าสองเท่า

ปัจจุบันลอรีอัล (L'Oréal) เป็นหนึ่งในบริษัทเครื่องสำอางและความงามที่ใหญ่ที่สุดในโลก โดยมีรายได้รวม 44,000 ล้านดอลลาร์ (41,000 ล้านยูโร) ในปี 2566 จากแบรนด์ 36 แบรนด์ ซึ่งรวมถึงแบรนด์ยอดมงกุฎอย่าง Maybelline, Kiehl's และ Lancôme

สำนักงานใหญ่ของลอรีอัลตั้งอยู่ริมแม่น้ำในกรุงปารีส

บริษัทอายุ 115 ปีอย่างลอรีอัล ไม่มีเคยมียุคที่เงียบเหงาเลย ตลอดหลายปีที่ผ่านมา บริษัทสร้างความสดใหม่ตลอดเวลาผ่านการเข้าซื้อกิจการและผ่านแคมเปญโฆษณาที่ทันสมัย ฤดูร้อนที่แล้ว ลอรีอัลเพิ่งปิดดีลซื้อกิจการแบรนด์ความงาม Aesop ของออสเตรเลียอย่างงดงามด้วยข้อตกลงที่มีมูลค่า 2,500 ล้านดอลลาร์และทำให้ลอรีอัลได้สินค้าแบรนด์หรูเพิ่มเข้ามา หลังจากที่มีแบรนด์อย่าง Yves Saint Laurent และ Armani Beauty ในครอบครองอยู่แล้ว

นอกจากนี้ เมื่อเดือนก.ค.ที่ผ่านมา ลอรีอัลยังเซ็นสัญญามอบหมายให้นางแบบสาวชื่อดัง “เคนดัลล์ เจนเนอร์” เป็นพรีเซนเตอร์ระดับโลกให้กับแบรนด์ ทำให้เคนดัลเป็นสมาชิกใหม่ล่าสุดของบรรดาแบรนด์แอมบาสเดอร์ที่มีชื่อเสียงระดับโลกของลอรีอัล ซึ่งรวมถึงวิโอลา เดวิส และเคท วินสเล็ต นักแสดงชื่อดัง

เธอมักจะใช้ชีวิตนอกแสงไฟสปอตไลท์ ไม่ชอบทำตัวเด่นดังในสังคม

แม้จะครอบครองอาณาจักรธุรกิจที่โด่งดังเช่นนี้ แต่ฟรองซัวส์ เบตตองกูร์ เมเยอร์ส ก็มักจะใช้ชีวิตนอกแสงไฟสปอตไลท์ เธอไม่ชอบทำตัวเด่นดังในสังคม และดูเป็นนักวิชาการมากกว่า กล่าวกันว่า เบตตองกูร์ เมเยอร์ส มักจะเล่นเปียโนวันละหลายชั่วโมง เธอยังแต่งหนังสือออกตีพิมพ์แล้ว 2 เล่ม โดยเล่มหนึ่งเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระคัมภีร์ และอีกเล่มก็เกี่ยวกับเทพเจ้ากรีก แต่ถึงกระนั้น ชีวิตของมหาเศรษฐีระดับโลกของเธอก็ไม่ได้เงียบเหงาขาดสีสันอะไรขนาดนั้น

ในปี 2550 ทายาทสาวของอาณาจักรธุรกิจลอรีอัลคนนี้ ปรากฏชื่อเป็นข่าวใหญ่เมื่อเธอยื่นฟ้องคดีอาญาต่อฟรังซัวส์ - มารี บานิเยร์ เพื่อนสนิทของครอบครัวและช่างภาพคนดังที่รู้จักกันมานาน เธอกล่าวหาว่า เขาปอกลอกแม่ของเธอที่กำลังป่วย ทำให้เธอต้องสูญเสียงานศิลปะ เงินสด อสังหาริมทรัพย์ และของขวัญอื่นๆ มูลค่ารวมกว่า 1,000 ล้านดอลลาร์ การพิจารณาคดีจบลงด้วยคำตัดสินว่า จำเลยมีความผิดและต้องโทษจำคุกสามปี ในการอุทธรณ์บานิเยร์ได้ผ่อนผันโทษ เป็นรอลงอาญา 4 ปี และต้องจ่ายค่าปรับให้กับเบตตองกูร์ เมเยอร์ส เป็นเงิน 420,000 ดอลลาร์

ต่อมาในปี 2554 ศาลยังมีคำสั่งให้เบตตองกูร์ เมเยอร์ส เป็นผู้ปกครองตามกฎหมายของมารดาของเธอ เนื่องจากลิเลียนได้รับการตรวจวินิจฉัยว่าเป็นโรคอัลไซเมอร์

นับตั้งแต่เข้าร่วมทำเนียบมหาเศรษฐีพันล้านดอลลาร์ของฟอร์บส์ ทรัพย์สินของเบตตองกูร์ เมเยอร์ส เพิ่มขึ้นมาโดยตลอด เธอเป็นประธานบริษัทโฮลดิ้งของครอบครัวภายใต้ชื่อ Téthys Invest ซึ่งเธอได้สนับสนุนโครงการต่างๆ มากมาย รวมทั้งธุรกิจโรงพยาบาลเอกชน Elsan ในฝรั่งเศส

นอกจากนี้ เบตตองกูร์ เมเยอร์ส ยังเป็นประธานมูลนิธิ Bettencourt Schueller ของครอบครัวเธอ ซึ่งสนับสนุนความก้าวหน้าด้านวิทยาศาสตร์และศิลปะของฝรั่งเศส โดยมอบเงินและรางวัลให้กับโครงการที่เกี่ยวข้องกับความก้าวหน้าทางสังคม

 

ข้อมูลอ้างอิง