สำนักข่าวเอเอฟพีรายงานอ้างอิงข้อมูลของนักรบ กองกำลังสหภาพแห่งชาติกะเหรี่ยง (Karen National Union) หรือ เคเอ็นยู ที่เปิดเผยเมื่อวันเสาร์ (6 เม.ย.) ว่า สามารถยึดค่ายทหารแห่งหนึ่งซึ่งอยู่ห่างจาก เมืองเมียวดี ไปราว 10 กิโลเมตร โดยทั้งทหารและตำรวจของรัฐบาลกลางเมียนมา รวมทั้งครอบครัวของพวกเขารวมกว่า 600 คนต่างยอมจำนนแล้ว
นอกจากนี้ ชาวเมืองเมียวดีหลายคนยังได้ให้สัมภาษณ์กับเอเอฟพีว่า พวกเขาได้ยินเสียงปืนและระเบิดอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งเสียงเครื่องบิน และมีชาวเมืองบางคนหนีไปแล้ว แต่ยังไม่เห็นสมาชิกกองกำลังเคเอ็นยูในเมือง ในขณะที่สะพานเชื่อมเมืองเมียวดี ซึ่งอยู่ทางภาคตะวันออกเฉียงใต้ของเมียนมา กับอำเภอแม่สอดของไทยก็ยังเปิดอยู่
ชาวเมียวดีผู้หนึ่งกล่าวกับเอเอฟพีโดยไม่ขอเปิดเผยชื่อว่า "ร้านค้าส่วนใหญ่ปิดบริการ และชาวเมืองก็พากันข้ามพรมแดนเข้าไปไทยแล้ว" ขณะที่สัญญาณโทรศัพท์มือถือในพื้นที่ก็ใช้การไม่ได้เลย
ชาวบ้านผู้หนึ่งกล่าวว่า เธอหนีออกมาจากพื้นที่สู้รบตั้งแต่หลายสัปดาห์ก่อน และขณะนี้เธอและผู้อพยพจำนวนมากต่างอาศัยหลบภัยอยู่ใกล้แม่น้ำติดพรมแดนไทย "ชาวบ้านหลายพันคนจากหลายหมู่บ้านต่างเดินทางมาสมทบทุกวันเพื่อรอข้ามพรมแดน"
ทั้งนี้ เมื่อวันอังคาร (9 เม.ย.) ซึ่งเป็นวันประชุมคณะรัฐมนตรี นายปานปรีย์ พหิทธานุกร รองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศของไทย เปิดเผยว่า ไทยเตรียมพร้อมรับผู้ลี้ภัยชาวเมียนมาซึ่งอาจจะมีจำนวนถึง 100,000 คนเข้าประเทศ
เมืองเมียวดี นั้น ถือเป็นศูนย์กลางการค้าสำคัญที่เชื่อมระหว่างประเทศไทยกับนครย่างกุ้งผ่านทางหลวงเอเชียไฮเวย์ ซึ่งตัดผ่านพื้นที่ของรัฐกะเหรี่ยงที่สู้รบกับกองทัพเมียนมามาเนิ่นนานหลายสิบปี
หลังการรัฐประหารเมื่อปี 2021 (พ.ศ.2564) กองกำลังเคเอ็นยูได้ให้ที่พักพิงแก่บรรดาฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองของรัฐบาลทหาร และร่วมจัดตั้งกลุ่มพันธมิตรที่ชื่อว่า “กองกำลังพิทักษ์ประชาชน” หรือ People's Defense Forces (PDF) ขึ้นมาต่อสู้กับรัฐบาลทหารเมียนมา มีการปะทะกันในหลายพื้นที่ทั่วประเทศ
โดยเมื่อต้นปีนี้ กองกำลังป้องกันชายแดนรัฐกะเหรี่ยง (Karen State Border Guard Force) ซึ่งเป็นกลุ่มติดอาวุธที่เคยร่วมเป็นพันธมิตรกับทหารเมียนมาและควบคุมพื้นที่ส่วนใหญ่ในเมืองเมียวดี ได้ออกมาประกาศชัดเจนว่า จะไม่รับคำสั่งจากรัฐบาลทหารอีกต่อไป ซึ่งนักวิเคราะห์เชื่อว่า ความเคลื่อนไหวดังกล่าวจะยิ่งทำให้กำลังของรัฐบาลทหารในพื้นที่รัฐกะเหรี่ยงยิ่งอ่อนแอลงไปอีก
ข้อมูลอ้างอิง