“เศรษฐา” พบกลุ่มทุนดูไบ-จีน เจรจาสร้างตึกสูงที่สุดในโลกที่ไทย

20 เม.ย. 2567 | 03:05 น.
อัปเดตล่าสุด :20 เม.ย. 2567 | 03:18 น.

สำนักข่าวบลูมเบิร์กรายงานว่า กลุ่มการลงทุนที่นำโดยบริษัทอสังหาริมทรัพย์จากดูไบ กำลังหารือถึงความเป็นไปได้ที่จะสร้างตึกสูงที่มีความสูง “ทุบสถิติโลก” ขึ้นในประเทศไทย

“บลูมเบิร์ก” สื่อใหญ่จากต่างประเทศ รายงานวานนี้ (19 เม.ย.) ว่า นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลังของไทย ได้พบกับ กลุ่มบริษัทของตะวันออกกลาง และ จีน ซึ่งรวมถึง อีมาร์ กรุ๊ป (Emaar Group) บรอด กรุ๊ป (Broad Group) และ วาโทน กรุ๊ป (Vatone Group) โดยได้หารือกันถึงแผนการที่จะสร้าง ตึกที่สูงที่สุดในโลก ขึ้นในประเทศไทย โดยนายกรัฐมนตรีของไทยเอง ก็ได้พูดถึงเรื่องนี้บนเเพลตฟอร์ม X เมื่อวันศุกร์ (19 เม.ย.)

บลูมเบิร์กรายงานว่า ตึกที่อาจได้รับการพัฒนาขึ้นนี้ จะมีวัตถุประสงค์การใช้หลายรูปแบบ (mixed-use tower) เช่น เป็นทั้งโรงเเรม ศูนย์การเงินการธนาคาร ห้างสรรพสินค้า และเเหล่งความบันเทิง

ด้าน อีมาร์ กรุ๊ป นั้น เป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางจากโครงการ “เบิร์จ คาลิฟา” ซึ่งเป็นตึกที่สูงที่สุดในโลก ที่นครดูไบ

โพสต์ของนายกฯพบแพลตฟอร์ม X

นายโมฮาเหม็ด อะลับบาร์ ผู้ก่อตั้งอีมาร์กรุ๊ป กล่าวว่า โครงการนี้จะถูกพัฒนาขึ้นโดยกลุ่มนักลงทุน โดยผู้ลงทุนจะรวมถึงตัวเขาเองและเป็นการส่วนตัว ไม่ใช่การลงทุนในรูปแบบของบริษัทมหาชน อย่างไรก็ตาม เขากล่าวว่า การหารือเรื่องตึกที่ “สูงมาก ๆ" นี้ ยังเพิ่งอยู่ในช่วงเริ่มต้น

บลูมเบิร์กรายงานข่าวอ้างอิงคำพูดของนายกรัฐมนตรีไทยที่เป็นอดีตนักอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ว่า โครงการในไทยจะประกอบด้วยห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่ สำนักงาน ศูนย์กลางการเงิน โรงแรม และศูนย์กลางความบันเทิง โดยตัวเขาเองเป็นผู้ให้ความสนับสนุนแนวความคิดที่จะผลักดันให้ไทยมีศูนย์รวมความบันเทิง หรือ entertainment complex ขนาดใหญ่ที่มีสถานคาสิโนรวมอยู่ด้วย

นายกฯ กับกลุ่มทุนจากตะวันออกกลางและจีน (19 เม.ย.2567)

ทั้งนี้ ในข้อความบนเเพลตฟอร์ม X ที่นายเศรษฐาโพสต์เอาไว้เมื่อวันศุกร์ (19 เม.ย.) ระบุว่า โครงการนี้จะสร้างมูลค่าการลงทุน และดึงดูดนักท่องเที่ยวได้เป็นอย่างมาก โดยทางกลุ่มผู้ลงทุนจะศึกษาความเป็นไปได้ในการลงทุนและจะนำเสนอแผนการลงทุนอย่างเป็นรูปธรรมเป็นลำดับต่อไป นอกจากนี้ ยังกล่าวด้วยว่า การส่งเสริมการลงทุนจากภาคเอกชนเป็นปัจจัยสำคัญในการกระตุ้นเศรษฐกิจของประเทศ และสร้างรายได้ให้พี่น้องประชาชน

ด้านนายชัย วัชรงค์ โฆษกรัฐบาล ยังได้กล่าวกับบลูมเบิร์กด้วยว่า กลุ่มนักลงทุนนี้สนใจที่จะร่วมมือกันผลักดันโครงการระดับ “เมกะโปรเจคท์” นี้ขึ้นในกรุงเทพฯ โดยเขาบอกกับบลูมเบิร์กว่า นายกฯ เศรษฐาเสนอว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่โครงการนี้จะสูงกว่าตึกที่ดูไบ ซึ่งนับเป็นความท้าทาย แต่ผู้ร่วมหารือเหล่านี้ก็ไม่ได้ปฏิเสธแนวคิดดังกล่าว

นับตั้งแต่เข้ารับตำแหน่งผู้นำประเทศในเดือนกันยายน 2566 นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีซึ่งควบตำแหน่งรัฐมนตรีคลัง ได้เดินหน้าชักชวนบริษัทต่างชาติและนักลงทุนนอกประเทศให้เข้ามาลงทุนโดยตรงในประเทศไทย ซึ่งมีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองของเอเชียตะวันออกเฉียงใต้(อาเซียน) แต่มีการเติบโตช้ากว่าประเทศร่วมภูมิภาคหลายประเทศในปัจจุบัน

เท่าที่ผ่านมานายกฯ เศรษฐา ได้พบกับผู้บริหารระดับสูงสุดของบริษัทต่างๆมากกว่า 60 บริษัท เพื่อเชิญชวนให้พวกเขาเข้ามาลงทุนในภาคเศรษฐกิจที่มีมูลค่าสูงในประเทศไทย ในความพยายามที่จะกระตุ้นการเติบโตของจีดีพีไทย ที่เฉลี่ยอยู่ในอัตราไม่ถึง 2% ในช่วงทศวรรษที่ผ่านมา

ผู้นำรัฐบาลไทยกล่าวว่า โครงการตึกระฟ้าอันจะถือเป็นจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวที่มนุษย์สร้างขึ้น (man-made tourist destination) แห่งนี้ อาจสร้างจุดดึงดูดนักท่องเที่ยวจากต่างประเทศให้เข้ามาเยือนประเทศไทยมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ อุตสาหกรรมการท่องเที่ยวนับเป็นฟันเฟืองใหญ่ในการทำรายได้ให้กับประเทศไทย คิดเป็น 12% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งหมด

ยอดนักท่องเที่ยวที่เดินทางมายังประเทศไทยเติบโตกว่า 40% ในปีนี้ (2567) มาอยู่ที่ประมาณ 11 ล้านคน ซึ่งส่วนหนึ่งได้เเรงหนุนการโครงการยกเว้นวีซ่าและการผ่อนกฎการเดินทางมาเที่ยวไทย

ในปีนี้ ประเทศไทยตั้งเป้าที่จะรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ 35 ล้าน - 40 ล้านคน ซึ่งใกล้เคียงกับยอดสูงสุดเดิมที่ 40 ล้านปี 2019 ก่อนการแพร่ระบาดของโควิด-19

 

ข้อมูลอ้างอิง