ในขณะที่ "อิสราเอล" เผชิญหน้ากับภัยคุกคาม ทั้งจาก กลุ่มฮามาส ฮิซบอลเลาะห์ อิหร่าน และในเขตเวสต์แบงก์ เเต่อันตรายที่ร้ายแรงที่สุดอาจแฝงอยู่ภายในประเทศ ความขัดแย้งทางการเมืองที่รุนแรง การแตกแยกทางสังคม และความไม่พอใจในหมู่ประชาชน ได้กลายเป็นจุดอ่อนที่ย่ำแย่มากกว่าภัยคุกคามภายนอก
โยอาฟ กัลแลนต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมของอิสราเอล กล่าวถึง ความขัดแย้งที่อิสราเอลกำลังเผชิญอยู่ว่า เป็นสงครามหลายแนวรบ กองกำลังอิสราเอลกำลังต่อสู้กับ กลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา และมีส่วนร่วมแลกเปลี่ยนการยิงกับกลุ่มฮิซบอลเลาะห์บริเวณชายแดนทางตอนเหนือติดกับเลบานอนทุกวัน
ความขัดแย้งระดับต่ำ ซึ่งส่วนใหญ่คือ การโจมตีทางอากาศ ยังคงดำเนินต่อไปกับกองกำลังที่ได้รับการสนับสนุนจากอิหร่านในซีเรีย อิสราเอลยังตกเป็นเป้าหมายของโดรนที่ยิงโดยกลุ่มฮูตีในเยเมน แม้ว่าจะไม่มีประสิทธิภาพก็ตาม
เมื่อพิจารณาวันที่กัลแลนต์แสดงความคิดเห็นนั้นมีความสำคัญ เขาพูดเมื่อวันที่ 2 เมษายนที่ผ่านมา เพียงหนึ่งวันหลังจากอิสราเอลทิ้งระเบิดต่อสถานที่ทางการทูตของอิหร่านในกรุงดามัสกัส เมืองหลวงของซีเรีย จากนั้นอิหร่านยิงขีปนาวุธและโดรน 300 ลูกใส่อิสราเอลเพื่อตอบโต้การโจมตี ภายในหนึ่งสัปดาห์อิสราเอลได้เพิ่มแนวรบอีกแนวหนึ่งให้กับความขัดแย้ง
ครั้งสงครามอาหรับกับอิสราเอล ในปี 1967 หรือ1973 อิสราเอลทำสงครามกับกองทัพอาหรับทั่วไปที่กดดันจากหลายทิศทางซึ่งมีความขัดแย้งแตกต่างจากครั้งนี้มาก การเปิดแนวรบใหม่กับอิหร่านทำให้เกิดคำถามใหม่ที่ไม่ใช่เเค่ศักยภาพของประเทศในการต่อสู้กับศัตรูหลายราย
เเม้จะวางแผนไว้อย่างน้อยหนึ่งทศวรรษสำหรับการทำสงครามที่อาจเกี่ยวข้องกับการสู้รบพร้อมกันในฉนวนกาซาและต่อต้านกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ทางตอนเหนือ เเต่สมมติฐานเกี่ยวกับวิธีการดำเนินดังกล่าวดูเหมือนจะผิดพลาด
อิสราเอลมีการจัดระเบียบยุทธศาสตร์ของกองกำลังป้องกันประเทศในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเเต่จากประสบการณ์ทางสงคราม สรุปว่าศัตรูหลักของอิสราเอลคือ กองทัพที่ใช้จรวดกระจายตัวไปในหลายทิศทาง แม้ว่าจะด้อยกว่าทางการทหาร แต่ก็ไม่ใช่กลุ่มติดอาวุธธรรมดาหรือกลุ่มคล้ายกองโจร แต่เป็นศัตรูที่ก้าวหน้าได้รับการฝึกฝนมาเป็นอย่างดี และมีแรงจูงใจทางอุดมการณ์
นับตั้งแต่กลุ่มฮามาสโจมตีทางตอนใต้ของอิสราเอลเมื่อวันที่ 7 ตุลาคมปีที่เเล้ว ทำให้มีผู้เสียชีวิตมากกว่า 1,100 ราย กลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาได้รับความเสียหาย ผู้นำอาวุโสหลายคนยังมีชีวิตอยู่
ที่ชายแดนทางเหนือ การยิงปะทะกันทุกวันกับกองกำลังที่มีอำนาจมากกว่าอย่างฮิซบอลเลาะห์ ได้ผลักดันให้อิสราเอลต้องอพยพพลเรือน นักวางแผนทางทหารของอิสราเอลส่วนใหญ่ยอมรับว่า กลุ่มฮิซบอลเลาะห์อาจสร้างความเสียหายร้ายแรงในความขัดแย้งเต็มรูปแบบได้ แล้วก็มีภัยคุกคามจากอิหร่านซึ่งกลายเป็นประเทศแรกนับตั้งเเต่สามทศวรรษที่มุ่งเป้ามายังอิสราเอลโดยตรง
ในการให้สัมภาษณ์กับ นิตยสาร Foreign Policy ภายหลังวันที่ 7 ตุลาคม พล.ต.ทามีร์ ไฮมาน อดีตผู้บัญชาการหน่วยข่าวกรองกองทัพอิสราเอล เล็งเห็นถึงความท้าทายบางอย่างที่อิสราเอลจะเผชิญในการต่อสู้กับสงครามหลายแนวรบ เเม้จะสามารถจัดการได้มากกว่าหนึ่งหรือมากกว่านั้น เเต่ปัญหา คือ ความเสียหายเเละความหยืดหยุ่นต่อสังคมอิสราเอล การป้องกันตัวเองจากภายในประเทศ เป็นสองแนวรบที่ไม่ใช่ปัญหาทางการทหาร
การถกเถียงว่าอิสราเอลสามารถต่อสู้ในหลายแนวรบที่เผชิญอยู่ในขณะนี้ได้หรือไม่นั้น กลายเป็นประเด็นมากขึ้นเรื่อยๆ เนื่องจากเป็นที่ชัดเจนว่า แนวร่วมระหว่างประเทศมีความสำคัญในการช่วยเผชิญหน้าการโจมตีของอิหร่านเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว หากไม่มีการรวมกลุ่มพันธมิตรอย่างรวดเร็ว ผลที่ตามมาจากการโจมตีของอิหร่านอาจแตกต่างอย่างเห็นได้ชัด แต่ปัญหาสำหรับอิสราเอลก็คือ แม้ว่าความขัดแย้งที่เผชิญหน้ากันนั้นถูกต้อง แต่การต่อสู้มีความสับสนและสิ้นเปลืองทรัพยากรมากขึ้น ทั้งทางการทหารและสังคม
วิธีการต่อสู้ของอิสราเอลตั้งแต่วันที่ 7 ตุลาคมปีที่เเล้ว ได้กัดกร่อนและสูญเสียการสนับสนุนจากนานาชาติ แม้ว่าพันธมิตรจะช่วยปกป้องจากอิหร่าน สหรัฐฯ และยุโรป กำหนดมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่ออิหร่าน เเละอาจมีหลายอย่างตามมาอีกมากมาย
ในความขัดแย้งที่ยุ่งเหยิงและลุกลาม ซึ่งวัตถุประสงค์เริ่มไม่ชัดเจนมากขึ้น ผู้สังเกตการณ์ไม่ได้ถามว่าอิสราเอลมีศักยภาพที่จะสู้รบในหลายๆ ด้านหรือไม่ แต่คำถามคือ ทำไปเพื่อจุดประสงค์อะไร? และค่าใช้จ่ายสุดท้ายเท่าไร?
เศรษฐกิจที่ได้รับผลกระทบจากสงครามร่วงลงเกือบ 20%
ผลผลิตของอิสราเอลหดตัวอย่างรวดเร็ว ในช่วงสามเดือนสุดท้ายของปี 2566 โดยลดลงเป็นครั้งแรกในรอบเกือบสองปี เนื่องจากสงครามกับกลุ่มฮามาสส่ง ผลกระทบอย่างหนักต่อเศรษฐกิจ ผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ลดลง 19.4% เมื่อเทียบเป็นรายปี
การหดตัวของผลผลิต ถือเป็นข่าวร้ายล่าสุดสำหรับอิสราเอล ซึ่งกำลังทำสงครามในฉนวนกาซาโดยมีเป้าหมายเพื่อทำลายล้างกลุ่มฮามาส
ความขัดแย้งนี้คาดว่าจะทำให้อิสราเอลต้องสูญเสียเงิน ประมาณ 255 พันล้านเชเขล (70.3 พันล้านดอลลาร์) ภายในสิ้นปี 2568 หรือคิดเป็น ประมาณ 13% ของ GDP ตามข้อมูลของธนาคารแห่งอิสราเอล
ที่มา