“วิโดโด”ยัน พร้อมย้ายไปทำงานที่เมืองหลวงใหม่ “นูซันตารา” กรกฎาคมนี้

09 มิ.ย. 2567 | 09:25 น.
อัปเดตล่าสุด :09 มิ.ย. 2567 | 09:45 น.

“โจโค วิโดโด” ผู้นำอินโดนีเซียเจอแรงกดดันปมอภิมหาโปรเจคท์ ย้ายเมืองหลวงจาก “จาการ์ตา” สู่เมือง “นูซันตารา” หลังจนท.โครงการลาออกหวั่นกระทบความมั่นใจนักลงทุน ยันพร้อมย้ายออฟฟิศไปทำงานที่เมืองหลวงแห่งใหม่เดือนก.ค.นี้

นายโจโค วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย ที่กำลังจะลงจากตำแหน่งในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้ ตกอยู่ภายใต้แรงกดดันอย่างหนักหลังเจ้าหน้าที่ระดับสูงที่เกี่ยวข้องกับโครงการมูลค่า 32,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อย้ายเมืองหลวงของอินโดนีเซียไปยังเมืองนูซันตารา (Nusantara) บนเกาะบอร์เนียว ตัดสินใจลาออก ทำให้ผู้นำอินโดนีเซียต้องเร่งเดินหน้าสร้างความมั่นใจให้กับบรรดานักลงทุนและข้าราชการ

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า นายวิโดโดประกาศยืนยันว่า ในเดือนก.ค.นี้ เขาจะย้ายไปทำงานที่ทำเนียบประธานาธิบดีในเมืองหลวงใหม่นูซันตารา ซึ่งตั้งอยู่ห่างจากกรุงจาการ์ตา เมืองหลวงปัจจุบัน ไปราว 1,200 กิโลเมตร

คำประกาศดังกล่าวเกิดขึ้น หลังจากหัวหน้าและรองหัวหน้าหน่วยงานที่ดูแลเกี่ยวกับแผนย้ายเมืองหลวงแห่งใหม่นี้ ตัดสินใจลาออกโดยไม่มีคำอธิบายในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา จนสร้างบรรยากาศความไม่แน่นอนต่ออนาคตของอภิมหาโครงการบนเกาะบอร์เนียวโครงการนี้

นูซันตารา เมืองหลวงใหม่ของอินโดนีเซีย ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว ห่างจากกรุงจาการ์ตาราว 1,200 กม.

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานอ้างอิงการให้สัมภาษณ์ของนายยานัวร์ นูโกรโฮ อดีตหัวหน้าคณะเจ้าหน้าที่ของประธานาธิบดีว่า ท่าทีของนายวิโดโดในขณะนี้ก็คือ เขาพยายามควบคุมความเสียหายที่เกิดขึ้น และคิดว่า ความมั่นใจของนักลงทุนลดลง เนื่องจากความไม่แน่นอนเรื่องสถานะที่ดิน ซึ่งเกิดจากปัญหาการบริหารจัดการที่ไม่โปร่งใสของโครงการเมืองหลวงใหม่แห่งนี้

ข่าวระบุว่า “นูซันตารา” เป็นทำเลของโครงการย้ายเมืองหลวงจากนครจาการ์ตาที่นายวิโดโดเป็นผู้ประกาศเดินหน้า ด้วยเป้าหมายเพื่อแก้ไขปัญหามลพิษ การจราจรที่ติดขัด และประชากรที่หนาแน่น ในกรุงจาการ์ตา โดยคาดหวังว่า นูซันตาราจะเป็นเมืองหลวงใหม่ที่ทันสมัยและเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม แต่จนถึงปัจจุบันก็ยังไม่มีแหล่งทุนใหญ่ๆจากต่างชาติเข้ามาลงทุน

ไม่เพียงเท่านั้น ตัวโครงการเองก็ยังเผชิญกับปัญหาหลายประการ อาทิ

  • สถานะของที่ดิน
  • ทรัพยากรน้ำ
  • ความลังเลไม่อยากย้ายถิ่นของข้าราชการที่จะต้องย้ายมาทำงานที่เมืองหลวงใหม่
  • และที่ตั้งของเมืองนูซันตารา ยังคงมีการแพร่ระบาดของโรคมาลาเรีย

หลังจากที่สองเจ้าหน้าที่ระดับสูงประกาศลาออกไปได้เพียงหนึ่งวัน ปธน.วิโดโดก็เดินทางไปยังเมืองนูซันตารา เพื่อลงพื้นที่เยี่ยมโรงเรียนและสำนักงานต่าง ๆ พร้อมให้คำมั่นสัญญาว่า กำลังจะมีการลงทุนจากต่างชาติเข้ามาในพื้นที่

นายโจโค วิโดโด ประธานาธิบดีอินโดนีเซีย กำลังจะลงจากตำแหน่งในเดือนตุลาคมที่จะถึงนี้

ด้านโฆษกของประธานาธิบดีได้ตอบคำถามผู้สื่อข่าวเกี่ยวกับอนาคตของโครงการนี้ โดยอ้างอิงคำพูดของนายวิโดโดที่เคยกล่าวไว้ก่อนหน้าว่า โครงการจะยังดำเนินต่อไป

ทั้งนี้ เขาเป็นประธานาธิบดีที่กำลังจะครบวาระการดำรงตำแหน่งสมัยที่สองในเดือนตุลาคม 2567 นี้แล้ว หลังจากนั้นก็จะส่งมอบอำนาจให้กับนายปราโบโว ซูเบียนโต ที่ชนะการเลือกตั้งเมื่อเดือนกุมภาพันธ์ที่ผ่านมา

แหล่งข่าวนักการเมืองรายหนึ่งกล่าวกับรอยเตอร์ว่า ปราโบโวยังไม่ได้หารืออะไรกับทีมงานของเขาเกี่ยวกับโครงการเมืองหลวงใหม่ แต่คิดว่าโครงการนี้ อย่างไรก็คงจะเดินหน้าต่อไป เพียงแต่อาจจะไม่รวดเร็วเท่ากับรัฐบาลของปธน.วิโดโด

นักการเมืองระดับสูงอีกราย กล่าวกับรอยเตอร์ว่า แนวร่วมของนายปราโบโวยังมีข้อสงสัยกันเป็นการส่วนตัวว่า อินโดนีเซียจะมีงบประมาณมากพอที่จะย้ายเมืองหลวงไปพร้อม ๆ กับการผลักดันนโยบายหลักที่มีการหาเสียงไว้ อย่างเช่นโครงการมื้ออาหารฟรี มูลค่ารวม 29,000 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือไม่

นายปราโบโว ซูเบียนโต ว่าที่ประธานาธิบดีคนใหม่ จะเป็นผู้สืบสานโครงการย้ายเมืองหลวงต่อไป

ทั้งนี้ ตั้งแต่เดือนกันยายน 2567 เป็นต้นไป ข้าราชการหลายพันคนจะถูกโยกย้ายไปทำงานที่เมืองนูซันตารา แต่จากการพูดคุยกับข้าราชการสิบกว่าคน มีเพียงสองคนเท่านั้นที่บอกกับรอยเตอร์ว่า ต้องการเดินทางไปทำงานที่เมืองหลวงใหม่ตามแผนดังกล่าว ส่วนที่เหลือกล่าวว่า ตั้งใจจะขอทำเรื่องโยกย้ายไปในภายหลัง หรือไม่ก็จะขอยื่นลาออกจากราชการ

“การไปอยู่ที่เมืองหลวงใหม่ ไม่ใช่ตัวเลือก แต่เป็นการเซ่นสังเวย เนื่องจากที่นั่นไม่มีโครงสร้างอะไรรองรับเลย” ข้าราชการจากกระทรวงการสื่อสารรายหนึ่งกล่าวกับรอยเตอร์

อย่างไรก็ตาม ด้านนายดานิส ซูมาดิลากา หัวหน้าฝ่ายงานโครงสร้างพื้นฐานของเมืองนูซันตารา กล่าวว่า เจ้าหน้าที่ที่ย้ายมาใหม่จะสามารถเข้าถึงความต้องการพื้นฐาน ทั้งอพาร์ทเมนท์ น้ำ ไฟฟ้า และอินเทอร์เน็ต

ด้านผู้บริหารหอการค้าอังกฤษในอินโดนีเซีย หรือ BritCham Indonesia กล่าวว่า ทุนจากต่างชาติที่ยังลังเลไม่เข้ามานั้น มีเหตุผลจากการรอดูผลการเลือกตั้งก่อนหน้านี้ และประเมินความเสี่ยงในด้านอื่น ๆ แต่ถึงตอนนี้ก็เริ่มเห็นว่า มีความสนใจกันขึ้นมาแล้ว โดยเป็นการลงทุนในด้านเมืองอัจฉริยะ การศึกษา โครงสร้างพื้นฐาน และอื่น ๆ