ในปี 2024 การเมืองสหรัฐฯ ต้องเผชิญกับพลวัตใหม่ที่ท้าทายกว่าทุกยุค อิทธิพลของมหาเศรษฐีเทคโนโลยีที่ไม่เพียงแค่มีบทบาทในวงการธุรกิจ แต่ยังแทรกซึมลึกเข้าไปในโครงสร้างอำนาจของรัฐ และไม่มีใครสะท้อนปรากฏการณ์นี้ได้ดีไปกว่า อีลอน มัสก์ กับสถานะ "First Buddy" ต่อ โดนัลด์ ทรัมป์
ย้อนกลับไปในปี 2016 มัสก์เคยแสดงความเห็นอย่างตรงไปตรงมาว่าทรัมป์ "ไม่มีคุณสมบัติ" ที่เหมาะสมในการเป็นผู้นำประเทศ แต่ไม่นานหลังจากทรัมป์ชนะการเลือกตั้ง มัสก์กลับได้รับเชิญให้เข้าร่วมคณะที่ปรึกษาทางเศรษฐกิจของทำเนียบขาว ซึ่งกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความสัมพันธ์ระหว่างสองบุคคลที่ทรงอิทธิพลนี้ อย่างไรก็ตาม เมื่อทรัมป์นำสหรัฐฯ ถอนตัวจากความตกลงปารีสว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ในปี 2017 มัสก์ตัดสินใจลาออกจากตำแหน่งที่ปรึกษาเพื่อแสดงจุดยืนทางสิ่งแวดล้อม
ในช่วงปี 2022-2023 ความสัมพันธ์ของทั้งคู่กลับมามีแนวโน้มดีขึ้นอีกครั้ง โดนัลด์ ทรัมป์ เริ่มยกย่องมัสก์ว่าเป็น "อัจฉริยะ" ขณะที่ อีลอน มัสก์ เองก็ให้การสนับสนุนนโยบายควบคุมพรมแดนของทรัมป์ รวมถึงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์พรรคเดโมแครตอย่างเปิดเผย
จุดเปลี่ยนที่สำคัญเกิดขึ้นใน กรกฎาคม 2024 หลังจากทรัมป์รอดชีวิตจากเหตุพยายามลอบสังหาร มัสก์รีบออกมาประกาศสนับสนุนทรัมป์ทันที พร้อมข่าวลือว่าเขาจะทุ่มเงินกว่า 45 ล้านดอลลาร์ต่อเดือน สนับสนุนแคมเปญของทรัมป์ หลังจากนั้น มัสก์ก็เปิดเวทีสนทนาบนแพลตฟอร์ม X กับทรัมป์ และแสดงท่าทีพร้อมรับตำแหน่งในรัฐบาลชุดใหม่
การที่มหาเศรษฐีระดับโลกอย่างมัสก์สนับสนุนทรัมป์อย่างเปิดเผย ส่งผลต่อการเลือกตั้ง 2024 ในหลายด้าน
การมีอิทธิพลของมหาเศรษฐีอย่างมัสก์ในรัฐบาลทรัมป์สะท้อนการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญของระเบียบการเมืองสหรัฐฯ
แม้ อีลอน มัสก์ และ โดนัลด์ ทรัมป์ จะดูเหมือนเป็นคู่หูทางการเมืองที่แข็งแกร่ง แต่ก็มีสัญญาณว่า "ความสัมพันธ์แบบ First Buddy" อาจไม่จีรัง
บทบาทของมัสก์ในการบริหารประเทศของทรัมป์อาจเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่กำหนด อนาคตของอำนาจทางการเมืองในสหรัฐฯ ไม่ว่าความสัมพันธ์นี้จะดำเนินต่อไปหรือแตกหัก มันได้เปิดประตูให้มหาเศรษฐีเทคโนโลยีมีบทบาทสำคัญยิ่งกว่าที่เคยในโครงสร้างอำนาจของประเทศ
อ้างอิง: Independent, BBC, City University of London, Business insider, Yahoo, The Guardian