ในขณะที่สงครามการค้าระหว่างสหรัฐอเมริกาและจีนทวีความตึงเครียดขึ้นอีกครั้ง การเดินหมากทางการทูตของจีนก็เริ่มเคลื่อนไหวเช่นกัน โดยประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ผู้นำสูงสุดของจีน เตรียมออกเดินทางเยือนเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ในสัปดาห์หน้า ซึ่งถือเป็นการเดินทางเยือนต่างประเทศครั้งแรกของเขาในปีนี้ โดยมีเป้าหมายสำคัญคือการกระชับความสัมพันธ์กับประเทศเพื่อนบ้านที่ใกล้ชิดที่สุดของจีนในช่วงเวลาที่ความขัดแย้งทางการค้ากับสหรัฐฯ กำลังลุกลามอย่างรวดเร็ว
ตามรายงานจากสำนักข่าวซินหัวของทางการจีน สี จิ้นผิงจะเดินทางเยือนเวียดนามในช่วงวันที่ 14-15 เมษายน และต่อด้วยการเยือนมาเลเซียและกัมพูชาในช่วงวันที่ 15-18 เมษายน ท่ามกลางบริบทที่สหรัฐฯ ภายใต้การนำของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ประกาศใช้มาตรการขึ้นภาษีสินค้าจีนเป็นจำนวนสูงถึง 145% ซึ่งถือเป็นมาตรการตอบโต้ที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่ทรัมป์กลับเข้ารับตำแหน่งในปีนี้
ขณะที่ประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ไม่ได้รอดพ้นจากผลกระทบเช่นกัน โดยกัมพูชา เวียดนาม และมาเลเซีย ต่างก็ถูกสหรัฐฯ ขึ้นภาษีตอบโต้ในระดับที่แตกต่างกัน ได้แก่ 49%, 46% และ 24% ตามลำดับ ทำให้หลายประเทศเริ่มหันไปเจรจากับวอชิงตันเพื่อหาทางผ่อนปรนมาตรการดังกล่าว อย่างไรก็ตาม จีนกลับยังคงยืนหยัดในท่าทีแข็งกร้าวกับสหรัฐฯ และเร่งเดินหน้าสร้างแนวร่วมกับประเทศอื่นๆ เพื่อต้านทานแรงกดดันจากภาษีของสหรัฐฯ
การเดินทางเยือนแบบทวิภาคีของประธานาธิบดีสี จิ้นผิงครั้งนี้ จึงเป็นมากกว่าการเยี่ยมเยือนตามมารยาททางการทูต เพราะนี่คือการสื่อสารอย่างชัดเจนว่าจีนต้องการรักษาและเสริมสร้างความร่วมมือรอบด้านกับประเทศเพื่อนบ้านในช่วงเวลาที่โลกกำลังเผชิญกับความไม่แน่นอนด้านเศรษฐกิจจากการเมืองระหว่างประเทศ
ก่อนหน้าการเดินทาง สี จิ้นผิงได้กล่าวไว้ว่า จีนมีความมุ่งมั่นที่จะ “เสริมสร้างความร่วมมือรอบด้านกับประเทศเพื่อนบ้าน” ซึ่งนับเป็นการส่งสัญญาณอย่างชัดเจนถึงแนวทางของจีนในเวทีการทูตและเศรษฐกิจระหว่างประเทศ นอกจากนี้ สำนักข่าวซินหัวยังเตรียมเผยแพร่บทความพิเศษตลอดการเดินทางครั้งนี้ โดยมีหัวข้อที่แสดงถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น เช่น “น้ำที่ไหลไม่สามารถตัดขาดได้” ระหว่างจีนและมาเลเซีย และ “เพื่อนแท้เหล็กกล้า” ที่กล่าวถึงความสัมพันธ์ระหว่างจีนกับกัมพูชา
ในช่วงเวลาก่อนและหลังที่สหรัฐฯ ประกาศใช้มาตรการภาษีตอบโต้เมื่อวันที่ 9 เมษายน ซึ่งส่วนใหญ่มาตรการเหล่านี้ได้ถูก “พักไว้” ยกเว้นของจีนเพียงประเทศเดียว รัฐบาลปักกิ่งก็ไม่ได้นิ่งเฉย โดยได้เริ่มขยายวงการเจรจาทางการค้ากับกลุ่มภูมิภาคต่างๆ ทั่วโลกเพื่อสร้างแนวร่วมต่อต้านมาตรการภาษีจากสหรัฐฯ
หวัง เหวินเทา รัฐมนตรีพาณิชย์จีน ได้หารือผ่านวิดีโอคอลกับรัฐมนตรีพาณิชย์จากสหภาพยุโรป มาเลเซีย ซาอุดีอาระเบีย และแอฟริกาใต้ เพื่อหาทางร่วมมือกันในการผลักดันระบบการค้าโลกที่เป็นธรรมมากขึ้น ขณะเดียวกัน หลี่เฉียง นายกรัฐมนตรีจีน ก็ได้พูดคุยทางโทรศัพท์กับอูร์ซูลา ฟอน แดร์ ไลเอิน ประธานคณะกรรมาธิการยุโรป โดยทั้งสองฝ่ายเห็นพ้องว่าจีนและยุโรปควรมีบทบาทในการสนับสนุนระบบการค้าโลกที่ “เสรี ยุติธรรม และตั้งอยู่บนหลักความเท่าเทียม”