วสท.ชงรัฐแนวคิดสร้างอนาคต-เพิ่มมูลค่ายางพาราในตลาดโลกด้วยนวัตกรรม

21 ธ.ค. 2561 | 10:21 น.
วสท.ระดมความเห็น“สร้างอนาคตและเพิ่มมูลค่าให้ยางพาราไทยในตลาดโลก”จากหลายภาคส่วน การยางแห่งประเทศไทย (กยท.), กรมส่งเสริมการปกครองส่วนท้องถิ่น (กปท.) สำนักวิจัยพัฒนา กรมชลประทาน กรมทางหลวงชนบท (ทช.) มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ วิศวกร นักวิจัยและนักวิชาการ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลและเสนอทางแก้ปัญหาด้วยวิศวกรรม วิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีให้ถูกจุดคุ้มค่ากับงบประมาณและเกิดความยั่งยืน ชี้การพัฒนายางพาราเป็นวัสดุก่อสร้างที่มีนวัตกรรมสู่กลางน้ำและปลายน้ำในยุคดิสรัปทีฟเทคโนโลยี มีโอกาสสร้างรายได้ที่ยั่งยืนและแข่งขันได้ในตลาดโลกและอาจเกิดประโยชน์คุ้มค่ากว่าการนำไปราดถนนเช่น นวัตกรรมTMD, แท่นยางรองสะพาน, แผ่นยางรองอาคาร (Base Isolation) เพื่อแยกโครงสร้างออกจากฐานรากกันแรงสะเทือนและแผ่นดินไหว

wst

โลกยุคเทคโนโลยีป่วน ไทยส่งออกวัตถุดิบยางพารามากที่สุดในโลก ในปี 2560 ข้อมูลจากสำนักงานเศรษฐกิจการเกษตร ประเทศไทยส่งยางพาราไปขายต่างประเทศมีมูลค่าถึง 215,833 ล้านบาท แซงหน้าข้าวที่มีมูลค่า 175,161 ล้านบาทแต่เมื่อพิจารณามูลค่าส่งออกยางพารารวมของ 3 ประเทศหลัก คือ ไทย อินโดนีเซียและมาเลเซีย กลับมีมูลค่าน้อยกว่ารายได้ของบริษัทผู้ผลิตยางรถยนต์อย่างบริดจสโตนและมิชลินเกือบ 3.5 เท่า สะท้อนถึงจุดอ่อนการเดินยุทธศาสตร์ที่ขาดการวิจัยพัฒนาผลิตภัณฑ์กลางน้ำและปลายน้ำ เพื่อต่อยอดและเพิ่มมูลค่ายางพาราของบ้านเรา

wst1

ปัจจุบันราคายางพาราตกต่ำต่อเนื่อง สาเหตุจากปริมาณผลผลิตและความต้องการใช้ยางไม่สมดุลกัน ไทยส่งออกยางพาราในรูปสินค้าเกษตรไม่มีการแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม และขาดการควบคุมโซนนิ่งพื้นที่ปลูกยางพารา ในภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว โดยเฉพาะประเทศผู้ใช้ยางรายใหญ่ของโลก ทั้งจีน สหรัฐฯ และญี่ปุ่น ชะลอซื้อจีนซึ่งเคยเป็นผู้ซื้อยางพารารายใหญ่หันมาเป็นผู้ผลิตเอง ปลูกยางและเข้าไปลงทุนในเวียดนาม ลาว กัมพูชา นอกจากนี้ราคายางพารายังเป็นไปตามราคาน้ำมัน หากน้ำมันแพง ราคาโพลิเมอร์ที่กลั่นจากน้ำมันดิบจะแพงไปด้วย โรงงานอุตสาหกรรมจึงจะหันมาซื้อยางพาราแทนโพลิเมอร์

wst2

ชาวสวนยางในประเทศไทยได้รวมตัวกันยื่นหนังสือถึงรัฐบาล ต่อมาปลายปี 2560 คณะรัฐมนตรีได้มีมติอนุมัติโครงการช่วยเหลือและแก้ไขปัญหาราคายางพาราตกต่ำ หนึ่งในมาตรการแก้ปัญหาคือ เพิ่มปริมาณการใช้ โดยบางหน่วยงานเห็นว่าการใช้น้ำยางสดเพื่อทำพื้นทางถนนยางพาราดินซีเมนต์ 7,000 แห่ง แห่งละ 1 กิโลเมตรโดยจะใช้น้ำยางสด 12 ตัน นั้น หวังแก้ปัญหาระยะสั้นโดยลดปริมาณสต๊อกยางในตลาด 9 หมื่นตัน และส่งผลถึงชาวสวนยางโดยตรง

ทั้งนี้ มีหลายภาคส่วนเห็นว่าการผลักดันยางพารา เพื่อมาใช้ราดหรือผสมในงานก่อสร้างถนน เป็นการแก้ไขปัญหาระยะสั้นและจะมีภาระปัญหาตามมาเนื่องจากข้อมูลทางวิชาการแสดงถึงต้นทุนที่สูงขึ้น ความคงทนและความปลอดภัยในการใช้งานถนน ซึ่งเป็นความปลอดภัยในชีวิตของประชาชนและมีความสำคัญต่อเศรษฐกิจ จำเป็นต้องมีการวิเคราะห์วิจัยและทำมาตรฐานตามหลักวิศวกรรมและสากล ก่อนที่รัฐบาลจะตัดสินใจและลงทุน ด้านองค์การปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และองค์การบริหารส่วนตำบล (อบต.) ผู้ปฏิบัติการในแนวคิดสร้างถนน 1 ตำบล 1 กิโลเมตร มีความกังวลเนื่องจากขาดมาตรฐานแบบรองรับ และหวั่นภาระจากปัญหาที่จะเกิดตามมา จึงได้พิจารณามอบหมายให้กรมทางหลวงจัดทำมาตรฐานถนน ข้อกำหนดพิเศษสำหรับงานถนนยางพาราดินซีเมนต์ปรับปรุงคุณภาพด้วยยางธรรมชาติ และกำหนดให้ทำการทดสอบภายใต้งบประมาณ 28.9 ล้านบาท

wst4

วิศวกรรมสถานแห่งประเทศไทย ในพระบรมราชูปถัมภ์ (วสท.) เห็นควรว่าทุกภาคส่วนควรวิเคราะห์ความเป็นไปได้ในการจัดทำมาตรฐานผู้ผลิตในการก่อสร้างถนนยางพาราดินซีเมนต์ ทั้งนี้ผลการศึกษาทดลองกับถนนจริง ควรดำเนินการตามหลักปฏิบัติทางวิศวกรรมโดยเน้นไปที่มีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพการทึบน้ำ (Permeability) และเสถียรภาพของโครงสร้างเส้นทาง (Unconfidned Compressive Strength)

รศ. เอนก ศิริพานิชกร ประธานสาขาวิศวกรรมโยธา วสท. เผยว่า ยางที่มีคุณภาพดีต้องผ่านกระบวนการผลิตที่มีต้นทุนสูง และอาจให้ผลค่าทึบน้ำที่ไม่แตกต่างกัน อีกทั้งยางพาราเป็นพืชเศรษฐกิจที่มีราคาผันผวนเปลี่ยนไปตามอุปสงค์และอุปทานของโลกและจะเป็นปัญหาในการคำนวณราคาก่อสร้าง จึงไม่เหมาะที่จะใช้เป็นวัสดุก่อสร้างประเภทถนนนอกจากนี้ปัญหาการใช้งานถนนผิวทางแอลฟัลท์คอนกรีต (Asphalt Concrete) โดยใช้ยางพาราสดธรรมชาติที่มีปริมาณความชื้นจุ (Moisture Content) สูงมาก และความหนาแน่นสูงกว่าต่อยางมะตอยในขณะผสมร้อน (Hot Mix) จะทำให้น้ำในยางพาราเดือดและก่อให้เกิดอันตรายแก่ผู้ปฏิบัติงาน ส่วนการทำถนนยางพาราดินซีเมนต์ในอัตราส่วนผสมยางพาราชนิดเข้มข้นไม่เกินร้อยละ 5 ซึ่งเป็นจุดสมดุลระหว่างราคาและสมรรถนะในการทำผิวทางที่ดีขึ้น สำหรับการผสมยางพาราสดในการทำพื้นทางถนนยังไม่มีข้อมูลชัดเจนในประโยชน์ที่เพิ่มขึ้น โดยมีราคาค่าก่อสร้างที่แพงขึ้นไปด้วย

wst5

ในยุคที่รัฐบาลมุ่งจะผลักดันประเทศด้วยนวัตกรรมเพื่อก้าวเป็นไทยแลนด์ 4.0 นั้น ควรหันไปส่งเสริมทำวิจัยและพัฒนาเพื่อยกระดับยางพาราไทยสู่กลางน้ำและปลายน้ำ ใช้งบส่งเสริมการวิจัยและพัฒนาวัสดุยางเป็นวัสดุก่อสร้างซึ่งมีมูลค่าสูงและทดแทนการนำเข้าจากต่างประเทศ อาทิ “แท่นยางรองสะพาน” (Neoprene Bearing Pad) ทำหน้าที่ลดการสั่นสะเทือนของสะพานในขณะบรรทุกหนัก เพี่อเสริมสร้างความปลอดภัยและลดความเสียหายของสะพานทั่วประเทศไทยที่มีอยู่หลายหมื่นแห่ง และยังสามารถผลิต“ยางตัดการสั่นสะเทือนของหลังคาโดยอุปกรณ์แขวนฝ้า” ซึ่งจำเป็นต้องใช้เพื่อลดเสียงที่เกิดจากการสั่นสะเทือน และมีการใช้กว้างขวางในห้องที่ต้องการความเงียบ

wst6

นอกจากนี้ ยังมีเทคโนโลยี “วัสดุแผ่นยางรองที่มีคุณภาพพิเศษเพื่อแยกตัวอาคารออกจากฐานราก”หรือ Base Isolation Technologyซึ่งเทคโนโลยีก่อสร้างนี้จะช่วยป้องกันความเสียหายจากแรงแผ่นดินไหวให้กับสิ่งปลูกสร้างเช่น อาคาร สะพาน ลักษณะอุปกรณ์ Base Isolation ที่ทำจากวัสดุยางมี หลักการทำงาน คือ สามารถรองรับโครงสร้างทำให้แยกตัวเป็นแบบกึ่งอิสระกับพื้นดินในแนวราบ คล้ายกับจุดรองรับแบบล้อ (Roller Support) เพื่อให้โครงสร้างสามารถเคลื่อนตัวกลับมายังตำแหน่งเดิมได้ ซึ่งต้องพัฒนาสมบัติการรับแรงของยาง โดยแนวคิด Base Isolation นี้เริ่มพัฒนาในช่วงปลายทศวรรษที่ 1970 ในสหรัฐอเมริกา และวิจัยพัฒนาโดยสมาคมวิจัยผู้ผลิตยางแห่งมาเลเซีย(MalaysianRubber Producers’ Research Association) ร่วมกับมหาวิทยาลัยเบิร์คเลย์แห่งแคลิฟอร์เนีย (University of California Berkeley) สหรัฐอเมริกา และส่งออกจำหน่ายทั่วโลก

wst7

ปัจจุบันมีการนำเอาเทคโนโลยี Base Isolation ไปใช้งานกันอย่างแพร่หลายในหลายประเทศ อาทิ สหรัฐอเมริกา ญี่ปุ่น จีน นิวซีแลนด์ ชิลี เป็นต้น ในญี่ปุ่นมีการใช้งานกว่า 4,000 อาคาร (ในปี ค.ศ.2015) นอกจากนี้ยังพัฒนาต่อเนื่องเป็นวัสดุสำหรับลดการสั่นสะเทือนให้กับอุปกรณ์ไฮเทค หรือมีคุณค่าต่างๆในอาคาร เช่น อุปกรณ์ทางการแพทย์ในโรงพยาบาล, วัตถุโบราณในพิพิธภัณฑ์ อีกรูปแบบหนึ่งที่มีการใช้งานคือ “Laminated Rubber Isolation” เป็นรูปแบบที่ใช้ยางที่มีความยืดหยุ่นและมีการใช้แผ่นเหล็ก (Inner Steel Plate) แทรกสลับกันเป็นชั้นๆภายใต้ยาง เพื่อช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการรับแรงในแนวดิ่ง ซึ่งยึดแกนกลางด้วยแกนตะกั่ว (Lead Plug) ส่วนด้านบนและล่างมีการประกบเหล็กแผ่นหนา

wst8

อีกนวัตกรรมที่ทำจากวัสดุยางที่ไทยควรส่งเสริมวิจัยพัฒนา คือTuned Mass DamperหรือTMDลูกตุ้มตัวหน่วงแรงลมหรือแรงแผ่นดินไหวสำหรับตึกสูงซึ่งผ่านการทดสอบแล้วว่าควบคุมแรงสั่นสะเทือนได้ดี ยอดตึกหยุดแกว่งได้เร็ว TMD ยังทำให้การก่อสร้างสามารถลดความหนาของผนังตึกสูงลงได้มาก ช่วยประหยัดวัสดุก่อสร้างและลด cost การสร้างตึก เช่น ตึกไทเป 101 ในไต้หวัน เป็นตึกสูง 509 เมตร ใช้อุปกรณ์ลดการสั่นสะเทือน TMD ซึ่งเป็นลูกตุ้มหนัก 660 ตัน ติดตั้งอยู่ที่ชั้น87 ของตึก ขณะที่อาคารสูงบ้านเรามีมากขึ้นโอกาสทางตลาดTMD ไม่เพียงในประเทศไทยเท่านั้นแต่กว้างไกลในอาเซียนอีกด้วย

wst9

หลายหน่วยงานได้มาร่วมระดมข้อคิดเห็นครั้งนี้ ต่างยินดีที่ได้มาพูดคุยเพื่อประโยชน์ของประเทศ ทุกฝ่ายเห็นพ้องกับ วสท.ที่จะต้องร่วมมือกันและผลักดันการวิจัยพัฒนานวัตกรรมยางพาราและเพิ่มมูลค่าในตลาดโลก ซึ่งไทยจะต้องเริ่มทำตั้งแต่วันนี้ ขณะที่ประเทศเพื่อนบ้านอย่างมาเลเซียก้าวไปไกลมากแล้ว ในอนาคตยังสามารถพัฒนายางพาราในรูปแบบใหม่ๆ เช่น ผงแป้ง ( Rubber Powder)ที่สะดวกต่อการนำไปใช้ผสม หรือต่อยอดนอกจากนี้มีผู้เสนอให้พัฒนาคุณภาพยางพาราเพื่อทำโครงการ 1 สระ 1 ตำบล จะได้ประโยชน์มากกว่าการทำถนน เนื่องจากทุกท้องถิ่นต้องการแก้มลิง หรือแหล่งเก็บน้ำ เพื่อบริหารจัดการน้ำท่วมน้ำแล้งสำหรับชุมชน สำหรับโครงการนำยางพาราสดไปราดถนน หรือทำยางข้นผสมทำถนนพาราซีเมนต์นั้น ครม.เพียงเห็นชอบในหลักการแนวคิด ซึ่งหน่วยงานผู้เกี่ยวข้องจะต้องทำรายละเอียดความเป็นไปได้และการปฎิบัติเสนอต่อไป ทั้งนี้จะมีการประชุมกับหน่วยงานต่างๆในวันที่ 25 ธค.นี้ จึงเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของ วสท.ว่าต้องทำมาตรฐานการทำถนนพาราดินซีเมนต์อย่างเป็นระบบ

wst3

ด้าน รศ.สิริวัฒน์ ไชยชนะ ที่ปรึกษา คณะกรรมการสาขาวิศวกรรมโยธาวสท.ได้สรุปข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในการสร้างอนาคตและมูลค่าเพิ่มให้ยางพาราไทยอย่างยั่งยืนและสามารถแข่งขันได้ในตลาดโลก 1. รัฐบาลควรตั้งงบประมาณสนับสนุนงานวิจัยและพัฒนายางพาราไทย สำหรับเป็นวัสดุก่อสร้างที่มีนวัตกรรมและมูลค่าสูงด้วยวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ซึ่งได้ประโยชน์หลายฝ่าย ทั้งเพิ่มรายได้แก่ประเทศ ส่งเสริมรายได้เกษตรกร อุตสาหกรรมและคุณภาพชีวิตของประชาชน

wst10

2. มอบหมายให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องทำงานร่วมกันในการศึกษาวิจัยและพัฒนาเพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ เช่นการยางแห่งประเทศไทย, สำนักงานพัฒนาวิทยาศาตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.),สำนักงานคณะกรรมการนโยบายวิทยาศาสตร์ เทคโนโลยีและนวัตกรรมแห่งชาติ (สวทน.)และสนง.กองทุนสนับสนุนงานวิจัย (สกว.), สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ , มหาวิทยาลัย , กระทรวงพาณิชย์ 3. ควรวางแผนพัฒนานวัตกรรมยางเชิงพาณิชย์ในระยะไม่เกิน 3 ปี 4. ควรควบคุมปริมาณและวางแผนการปลูกยางให้สอดคล้องกับภาวะตลาดที่เปลี่ยนไปแล้ว และ 5.ในระยะสั้นต้องรีบดำเนินการให้มีมาตรฐานการทำถนนพาราซีเมนต์อย่างเป็นระบบ เพื่อสามารถกำหนดราคากลางและสร้างความเชื่อมั่นของผู้ใช้ถนน

wst11

wst13

595959859