จีนดึงบิ๊กต่างชาติเป็นแนวร่วม โต้กระแสเทรดวอร์-สกัดม็อบฮ่องกง

29 ส.ค. 2562 | 09:06 น.

เซาธ์ ไชน่า มอร์นิ่ง โพสต์ สื่อใหญ่ของฮ่องกง รายงานเมื่อต้นสัปดาห์ (27 ส.ค.) ว่า นายธนินท์ เจียรวนนท์ ประธานอาวุโสเครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซีพี) และผู้นำตระกูลที่ร่ำรวยที่สุดในประเทศไทย ได้ซื้อโฆษณาหน้า 1 ของบรรดาหนังสือพิมพ์ชั้นนำในฮ่องกง อาทิ โอเรียนทัล เดลี นิวส์, ชิงเต่า เดลี และหมิงเป้า เรียกร้องให้เกิดสันติภาพและความสงบบนท้องถนนในฮ่องกงอีกครั้ง  เรื่องนี้เป็นที่เข้าใจได้เพราะซีพีเป็นบริษัทข้ามชาติรายใหญ่ที่มีธุรกิจมูลค่ามหาศาลในฮ่องกง  บริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฮ่องกงตั้งแต่ปี 2531 และยังถือหุ้นในอีกหลายบริษัทที่จดทะเบียนในฮ่องกง รวมถึงการถือหุ้น 23.3% ในผิงอัน อินชัวแรนซ์ กรุ๊ป บริษัทประกันเบอร์ 1 ของจีน เหตุการณ์ความไม่สงบในฮ่องกงไม่เพียงส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจของฮ่องกงเองที่หดตัวลงแล้วในไตรมาส 2 ของปีนี้ แต่ยังมีผลคุกคามแนวโน้มเศรษฐกิจในระยะยาว กระทั่งนักเศรษฐศาสตร์ของฮาร์วาร์ดยังออกมาติงเตือนว่า หากปล่อยสถานการณ์เลวร้ายรุนแรงมากไปกว่านี้ ฮ่องกงนี่เองที่อาจเป็นจุดพลิกเศรษฐกิจโลกให้เข้าสู่ภาวะถดถอยเร็วกว่าที่ใครๆคาดคิด 

เอชเอสบีซีและสแตนดาร์ด ชาร์เตอร์ด เป็น 2 ธนาคารต่างชาติที่ยอมเสียเงินซื้อพื้นที่โฆษณาในหนังสือพิมพ์ฮ่องกง เรียกร้องขอความสงบสุขคืนมาให้กับฮ่องกงและประณามการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบ

ไม่เพียงเฉพาะเจ้าสัวซีพีเท่านั้น ยังมีผู้บริหารบริษัทยักษ์ใหญ่ระดับโลกรายอื่นๆที่มีธุรกิจอยู่ในฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ ที่ได้ออกมาใช้พื้นที่สื่อแสดงจุดยืนเรียกร้องให้ทุกฝ่ายคืนความสงบสุขให้แก่ฮ่องกงโดยไว หนึ่งในนั้นคือ ธนาคารเอชเอสบีซี ซึ่งเป็นธนาคารสัญชาติอังกฤษที่ก่อตั้งในปีค.ศ. 1865 ขณะที่ฮ่องกงยังอยู่ใต้อาณัติการปกครองของอังกฤษ ปัจจุบัน เอชเอสบีซีเป็นธนาคารใหญ่ที่สุดในยุโรปในแง่สินทรัพย์ และเป็นธนาคารใหญ่อันดับ 7 ของโลก (ปี 2560) รายได้ส่วนใหญ่มาจากฮ่องกงและจีนแผ่นดินใหญ่ ช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา ธนาคารเอชเอสบีซีซื้อพื้นที่เต็มหน้าของหนังสือพิมพ์ ฮ่องกง อิโคโนมิค ไทม์ส, ฮ่องกง อิโคโนมิค เจอร์นัล, ชิงเต่า , เวิน เว่ย เป้า และ ต้า คุง เป้า ซึ่งตีพิมพ์เป็นภาษาจีน ลงข้อความเรียกร้องให้ฮ่องกงกลับสู่ภาวะสงบเรียบร้อย “เรามีความห่วงใยเป็นอย่างยิ่งเกี่ยวกับเหตุการณ์ความเป็นไปทางสังคมในระยะหลังๆนี้ และขอประณามพฤติกรรมการใช้ความรุนแรงในทุกรูปแบบ ที่ทำให้ความสงบเรียบร้อยของสังคมต้องได้รับผลกระทบ” เนื้อหาในโฆษณาระบุ  

 

นอกจากกลุ่มซีพีและธนาคารเอชเอสบีซีแล้ว ยังมี ธนาคารสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ซึ่งเป็นธนาคารของอังกฤษอีกราย ที่ซื้อพื้นที่เต็มหน้าของหนังสือพิมพ์ 3 รายใหญ่ในฮ่องกง (เวิน เว่ย เป้า, ต้า คุง เป้า และชิงเต่า เดลี) เพื่อลงเนื้อหาข้อความประณามการใช้ความรุนแรง และเรียกร้องให้การชุมนุมประท้วงรัฐบาลที่ยาวนานเกินกว่า 2 เดือนแล้วนี้ ยุติลงเสียทีด้วยสันติวิธี เนื้อหาในโฆษณาของสแตนดาร์ดชาร์เตอร์ด ยังระบุอย่างชัดเจนด้วยว่า ทางธนาคารขอสนับสนุนนโยบาย “หนึ่งประเทศ สองระบบ อย่างเต็มที่ และสนับสนุนรัฐบาลของเขตบริหารพิเศษฮ่องกง ให้สามารถนำสังคมกลับคืนสู่สเถียรภาพและความปลอดภัยได้ในที่สุด

รูเพิร์ต ฮ็อกก์ เจอแรงกดดันจากรัฐบาลจีนจนต้องประกาศลาออกในที่้สุด จากกรณีพนักงานเข้ามีส่วนร่วมสนับสนุนการชุมนุมประท้วงที่สนามบินฮ่องกง

แม้รัฐบาลจีนแผ่นดินใหญ่จะยังสงวนท่าที ไม่เข้ามาแทรกแซงเหตุการณ์ในฮ่องกงอย่างออกหน้าออกตา ปล่อยให้รัฐบาลฮ่องกงพยายามแก้ไขปัญหาด้วยตัวเองอยู่ในเวลานี้ แต่ก็เห็นชัดว่า จีนได้ส่งสัญญาณไปยังบรรดาบริษัทข้ามชาติยักษ์ใหญ่ทั้งหลายที่มีผลประโยชน์อยู่ในฮ่องกงและจีนในเวลานี้ ให้ช่วยกันแสดงพลังให้เห็นว่า ไม่ต้องการความชุลมุนวุ่นวายในฮ่องกงและขอให้การชุมนุมจบลงโดยเร็วและสันติ  จีนยังเชือดไก่ให้ลิงดูด้วยว่า หากสนับสนุนหรือเข้ามีส่วนร่วมในการชุมนุมในฮ่องกง ก็จะได้รับผลอย่างที่นายรูเพิร์ต ฮ็อกก์ อดีตประธานเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) ของสายการบินคาเธย์ แปซิฟิก ต้องเผชิญ นั่นคือเขาต้องลาออกหลังจากที่พนักงานของสายการบินเข้าร่วมการชุมนุมประท้วงที่ท่าอากาศยานนานาชาติฮ่องกงเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา ซึ่งหลังจากเหตุการณ์ดังกล่าวเกิดขึ้น รัฐบาลจีนได้ประกาศห้ามไม่ให้พนักงานของสายการบินที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการชุมนุม ให้บริการบนเที่ยวบินที่บินมายังประเทศจีน  นายฮ็อกก์ได้รับแรงกดดันให้ลงโทษพนักงานซึ่งรวมถึงการพักงาน สุดท้ายตัวเขาเองตัดสินใจลาออก โดยมีผู้บริหารและนักบินส่วนหนึ่งลาออกตามด้วย 

 

กรณีของคาเธย์ แปซิฟิก เป็นตัวอย่างชัดเจนว่า จีนเอาจริงและจะลงโทษหนัก หากบริษัทเอกชนใดก็ตามจะให้การสนับสนุนหรือหนุนหลังการชุมนุมประท้วง และในทางตรงข้าม จีนพร้อมให้โอกาสแก่บริษัทที่จะช่วยเข้ามาสร้างความมั่นใจว่าพร้อมยืนเคียงข้างจีนและฮ่องกง ซึ่งหมายถึงฮ่องกงโดยนัยยะของ “หนึ่งประเทศ สองระบบ” เท่านั้น  

 

จีนพร้อมที่จะประกาศเปิดประตูต้อนรับบิ๊กบริษัทต่างชาติอีกครั้งในงาน China International Import Expo ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ พ.ย.นี้

เร็วๆนี้ในเดือนตุลาคม จีนยังเตรียมตัวเป็นเจ้าภาพจัดงานแสดงสินค้านานาชาติซึ่งเป็นงานใหญ่ประจำปี จัดขึ้นที่เมืองชิงเต่า มณฑลซานตง ซึ่งเป็นมณฑลชายฝั่งทะเลทางภาคตะวันออกของประเทศจีน โดยงานนี้จะเป็นงานใหญ่งานแรกท่ามกลางสงครามการค้าที่ระอุขึ้น ที่จะมีบริษัทธุรกิจข้ามชาติขนาดใหญ่เข้าร่วมงาน ซึ่งรวมถึงบริษัทชั้นนำของสหรัฐอเมริกา อาทิ ฮิวเลตต์-แพคการ์ด ,ฮันนี่เวลล์ , ออราเคิล และดาว เคมิคอล เป้าหมายก็เพื่อประกาศย้ำดังๆไปยังประชาคมโลกว่า  จีนนั้นมีนโยบายที่เปิดกว้างต้อนรับบริษัทต่างชาติ จนถึงขณะนี้ มีบริษัทนานาชาติลงทะเบียนเข้าร่วมงานดังกล่าวแล้วถึง 178 บริษัท และในจำนวนนี้ 28 บริษัทเป็นสัญชาติอเมริกัน

 

นายเฉียน เค่อหมิง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ของจีน เปิดเผยว่า งานชิงเต่า ซัมมิท จะเป็นเวทีใหญ่ที่จีนจะประกาศต้อนรับบริษัทธุรกิจนานาชาติ “นโยบายส่งเสริมการลงทุนต่างชาติของจีนไม่เคยเปลี่ยนแปลง จีนจะเปิดโอกาสให้แก่นักลงทุนต่างชาติมากยิ่งขึ้น”  หลังจากงานดังกล่าวแล้ว ในเดือนพฤศจิกายนนี้ จีนจะจัดงานใหญ่ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในปีที่แล้ว คือ China International Import Expo ที่เมืองเซี่ยงไฮ้ เป้าหมายเพื่อสร้างความมั่นใจให้บริษัทต่างชาติเข้ามาค้าขายและลงทุนกับจีนเพิ่มมากขึ้น  ทั้งนี้ สถิติล่าสุดในเดือนก.ค. 2562 ชี้ว่า เม็ดเงินลงทุนโดยตรงของต่างชาติ (FDI) ในจีน เพิ่มขึ้น 4.1% เมื่อเทียบกับปีที่ผ่านมา คิดเป็นมูลค่า 8,070 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ และเป็นอัตราที่เพิ่มขึ้นจาก 3% ในเดือนมิถุนายน