อิสราเอลเมินเสียงทัดทาน ส่งกำลังสำรองเข้าฉนวนกาซา เตรียมเผด็จศึกฮามาส

25 เม.ย. 2567 | 05:38 น.

กองทัพอิสราเอลเปิดเผยว่าได้ส่งกองกำลังสำรอง 2 กองพันเข้าไปในพื้นที่ฉนวนกาซา เพื่อเตรียมการโจมตีภาคพื้นดินชุดใหญ่ในเมืองราฟาห์ แม้ว่าจะมีเสียงทัดทานรอบด้าน แต่อิสราเอลย้ำการบุกเมืองราฟาห์ "จำเป็นอย่างมาก" ในการบรรลุเป้าหมายการกำจัดกลุ่มฮามาสให้สิ้นซาก 

กองทัพอิสราเอล ระบุว่า กองกำลังสำรองมีเป้าหมายเปิดปฏิบัติการ “ภารกิจป้องกันและยุทธวิธี” แต่ไม่ได้ให้รายละเอียดใด ๆ เพิ่มเติมเกี่ยวกับแผนการดังกล่าว และว่า การบุก เมืองราฟาห์ ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของ ฉนวนกาซา เป็นสิ่งจำเป็นในการบรรลุเป้าหมายในการกำจัด กลุ่มฮามาส 

นอกจากนี้ ยังเปิดเผยว่า เครื่องบินขับไล่อิสราเอลได้โจมตี 50 เป้าหมายในเขตฉนวนกาซาในช่วงไม่กี่วันมานี้ และยังได้โจมตีฐานที่มั่นของกลุ่มฮิซบอลเลาะห์ซึ่งเป็นพันธมิตรของฮามาส ทางตอนใต้ของเลบานอน เพื่อตอบโต้การโจมตีด้วยจรวดหลายครั้งจากฝั่งฮิซบอลเลาะห์

ก่อนหน้านี้ ทั้งสหรัฐอเมริกา สหประชาชาติ และนานาประเทศ ต่างแสดงความกังวลเกี่ยวกับการโจมตีภาคพื้นดินของอิสราเอลในเมืองราฟาห์ โดยมองว่า การกระทำดังกล่าวอาจนำพาหายนะด้านมนุษยธรรมมาสู่เมืองราฟาห์ได้

ขณะเดียวกัน คณะทำงานอิสระด้านความมั่นคงของสหรัฐได้ออกมาเรียกร้องให้สหรัฐระงับการส่งอาวุธให้อิสราเอล โดยอ้างว่าอิสราเอลนั้น “มีรูปแบบของอาชญากรรมสงครามที่เป็นระบบ”

การโจมตีฉนวนกาซาโดยกองทัพอิสราเอลยังคงดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง

ทั้งนี้ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ผู้นำสหรัฐ ได้ลงนามรับรองงบช่วยเหลือด้านสงครามต่ออิสราเอล มูลค่า 26,000 ล้านดอลลาร์แล้วในสัปดาห์นี้ ทำให้ทางคณะกรรมการเฉพาะกิจอิสระภายใต้ชื่อ Independent Task Force on the Application of National Security Memorandum-20 (NSM-20) ซึ่งเป็นคณะทำงานอย่างไม่เป็นทางการของบรรดานักวิชาการและอดีตเจ้าหน้าที่ของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ได้ออกรายงานเมื่อวันพุธ (24 เม.ย.) เรียกร้องให้รัฐบาลสหรัฐระงับการส่งอาวุธให้แก่อิสราเอล เนื่องจากเห็นว่า ปฏิบัติการของอิสราเอลในฉนวนกาซานั้น มีรูปแบบของอาชญากรรมสงครามที่เป็นระบบ

รายงานดังกล่าว ตั้งข้อสงสัยในคำรับรองจากรัฐบาลอิสราเอลภายใต้การนำของนายกรัฐมนตรีเบนจามิน เนทันยาฮู เกี่ยวกับการใช้อาวุธอเมริกันตามกฎหมายระหว่างประเทศ โดยคณะกรรมการเฉพาะกิจนี้ ได้ทำการตรวจสอบรายงานการโจมตีในฉนวนกาซาหลายพันเหตุการณ์ และพบว่ามีหลายเหตุการณ์ที่ทางกลุ่มสิทธิมนุษยชนไม่พบหลักฐานว่าเป็นพิกัดเป้าหมายการทหาร และไม่มีคำเตือนล่วงหน้าก่อนการโจมตีจากทางการอิสราเอล ทางคณะกรรมการ NSM-20 จึงสรุปว่า กองทัพอิสราเอลละเมิดกฎหมายมนุษยธรรม รวมทั้งใช้อาวุธของสหรัฐในการโจมตีอย่างผิดกฎหมาย และการวางข้อจำกัดในความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมกับผู้คนในกาซา

คณะกรรมการเฉพาะกิจอิสระชุดนี้ มีประธานร่วม คือ นูรา เอรากัต อาจารย์ด้านกฎหมายระหว่างประเทศจากมหาวิทยาลัย Rutgers University และนักเคลื่อนไหวอเมริกันปาเลสไตน์ และจอช พอล ผู้อำนวยการหน่วยงานด้านการจัดส่งอาวุธของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ ที่เพิ่งลาออกเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาเพื่อประท้วงการที่รัฐบาลสหรัฐเดินหน้าจัดส่งความช่วยเหลือด้านอาวุธร้ายแรงให้กับอิสราเอล บุคคลทั้งสองได้ออกมาวิจารณ์การก่อสงครามของอิสราเอลและการสนับสนุนอิสราเอลของปธน.ไบเดนมาโดยตลอด 

ทางคณะกรรมการฯได้ส่งรายงานดังกล่าวให้กับคณะทำงานของไบเดน เมื่อวันที่ 18 เมษายนที่ผ่านมา ก่อนเผยแพร่รายงานดังกล่าวในวันพุธ (24 เม.ย.) โดยนายจอช พอล กล่าวว่า “มีหลักฐานชัดเจนว่า ผู้เสียภาษีชาวอเมริกันกำลังให้การสนับสนุนรูปแบบอาชญากรรมสงครามอย่างเป็นระบบโดยกองทัพอิสราเอล”

ภายใต้บันทึก NSM-20 มุ่งเน้นเรื่องการใช้อาวุธที่สหรัฐจัดส่งให้กับต่างประเทศ ซึ่งปธน.ไบเดนได้สั่งให้กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐรายงานต่อสภาคองเกรสภายใน 90 วันว่า อิสราเอลใช้อาวุธที่สหรัฐส่งมอบให้ตามกฎหมายระหว่างประเทศและกฎหมายของสหรัฐหรือไม่ แต่หากพบว่ามีหลักฐานการละเมิดสิทธิมนุษยชนจากการใช้อาวุธดังกล่าว สหรัฐก็สามารถตัดความช่วยเหลือได้ โดยกระทรวงต่างประเทศสหรัฐมีเวลาจนถึง 8 พฤษภาคมในการรายงานต่อสภาคองเกรสในเรื่องนี้

ซาราห์ แฮร์ริสัน นักวิเคราะห์อาวุโสจากองค์กร International Crisis Group ให้ทัศนะกับสำนักข่าววีโอเอ สื่อใหญ่ของสหรัฐว่า การจะระบุว่าอาวุธอเมริกันได้ถูกใช้ตามกฎหมายหรือไม่นั้น อาจเป็นเรื่องยาก เนื่องจาก “รัฐบาลอเมริกันไม่ได้ติดตามเส้นทางการใช้อาวุธแบบนั้น” อย่างไรก็ตาม รายงานเสริมว่า มีหลักฐานที่น่าสนใจสำหรับฝ่ายบริหารในการประเมิน 

ทั้งนี้ อิสราเอลเป็นผู้รับความช่วยเหลือจากสหรัฐรายใหญ่ที่สุด คือเกือบๆ 4,000 ล้านดอลลาร์ต่อปี และส่วนใหญ่เป็นรูปแบบความช่วยเหลือทางด้านการทหาร