กลายเป็นประเด็นร้อนที่สังคมต้องจับตามอง เมื่อ “ปดิพัทธ์ สันติภาดา” ส.ส.พรรคก้าวไกล และเป็นรองประธานสภาฯ คนที่ 1 โพสต์ภาพถือกระป๋องคราฟต์เบียร์ ในร้านกาแฟว่าเป็นของดีพิษณุโลก แน่นอนผลที่ตามมาคือ ฟากหนึ่ง บอกว่า ผิดกฎหมาย เข้าข่ายโฆษณาเชิญชวน เพื่อประโยชน์ทางการค้า ผิดพ.ร.บ ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ 2551 ที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน
แต่อีกฟากหนึ่งก็มองว่า เป็นโอกาสของผู้ผลิตในชุมชน ที่ปัจจุบันมีสินค้าอยู่จำนวนมาก จะได้รับการโปรโมตให้เป็นที่รู้จักในวงกว้าง ซึ่งปัญหาจะไม่เกิด หากสินค้านั้น ไม่ใช่ “เครื่องดื่มแอลกอฮอล์” และไม่ได้เกิดขึ้นในประเทศไทย หนึ่งในประเทศที่มีกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่เข้มข้นที่สุดในโลก
หากมองย้อนกลับไป “สุราก้าวหน้า” หรือ “สุราเสรี” เป็นหนึ่งในนโยบายที่พรรคก้าวไกล นำเสนอตั้งแต่การหาเสียงเลือกตั้ง ด้วยแนวคิดการปลดล็อกสุราเสรี การผลักดันสินค้าเกษตรให้เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ การสร้างผู้ผลิตหน้าใหม่ เพื่อกระจายรายได้ สร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ รวมถึงการใช้เป็น Soft Power ส่งเสริมสินค้าไทย ท่องเที่ยวไทย
แน่นอนว่า แนวคิดนี้ได้รับการตอบรับอย่างดีจากผู้ประกอบการทั้งผู้ผลิต ผู้จำหน่าย รวมถึงผู้ดื่ม เพราะต่างคาดหวังว่า มาตรการควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ของไทย จะถูกลดดีกรีความเข้มข้นลง พร้อมเปิดโอกาสในการเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ ไม่เพียงผู้ประกอบการรายใหญ่ รายกลาง แต่รวมไปถึง “สุราชุมชน” ชาวบ้าน รายเล็กรายน้อย
เพราะที่ผ่านมา นับจากวันที่ภาครัฐส่งเสริมให้ชาวบ้านผลิตสุราพื้นบ้านและไวน์ไทย เพื่อให้ชาวบ้าน ชุมชนมีรายได้ เกิดการหมุนเวียนของเศรษฐกิจในชุมชน แต่ไม่ได้ให้ความสำคัญกับคุณภาพ ผู้ประกอบการจึงมุ่งเน้นไปที่การผลิตด้วยต้นทุนต่ำสุด การจำหน่าย การบริโภคก็เกิดขึ้นเฉพาะในชุมชน ไม่มีการสร้างยี่ห้อ หรือ แบรนด์ ให้เป็นที่รู้จัก หรือ ได้รับการยอมรับจากคนทั่วไป
อีกทั้งยังมีข้อจำกัดมากมาย โดยเฉพาะการห้ามโฆษณา จำกัดเวลาขาย ห้ามแสดงเครื่องหมายการค้า ห้ามส่งเสริมการขาย ทำให้ผู้ประกอบการต้องต่อสู้ ดิ้นรนอย่างหนัก ท้ายที่สุดผู้ผลิตสุราพื้นบ้าน ไวน์หลายรายต้องยุติกิจการ หรือขายกิจการทิ้ง
การปลดล็อก “สุราเสรี” เปรียบเหมือนการปัดฝุ่น ให้ “สุราชุมชน” กลับมาเกิดได้อีกครั้ง เพราะที่ผ่านมามีผู้ประกอบการรายย่อยจำนวนมาก ที่ซุ่มพัฒนาและผลิตทั้งสุราแช่ สุรากลั่น รวมไปถึงคราฟต์เบียร์ เพื่อจำหน่ายในชุมชน ภายใต้ข้อกฎหมายที่มีอยู่ เสียภาษีตามที่กรมสรรพสามิตกำหนด
ขณะที่การทำธุรกิจ เมื่อมีสินค้าเกิดขึ้นก็ต้องสร้างแบรนด์ให้เป็นที่รู้จัก ให้ผู้บริโภครับรู้สรรพคุณ รู้จักวัตถุดิบ แหล่งผลิต ความโดดเด่นของสินค้า เช่นเดียวกับสินค้าชุมชนในหลายประเทศที่ถูกส่งเสริมและกลายเป็น Soft Power ของประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่ญี่ปุ่น เกาหลี หรือ แม้กระทั่งฝั่งยุโรป อย่างฝรั่งเศส อิตาลี ฯลฯ
การออกมาโปรโมตคราฟต์เบียร์ของนักการเมืองดัง แม้จะเป็นการช่วยส่งเสริมสินค้าชุมชน แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า ผิดข้อกฎหมายที่มีอยู่ และผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นอีกด้านคือ ผู้คนแห่ไปซื้อคราฟต์เบียร์จนเกลี้ยงร้าน ซึ่งยังไม่รู้ว่า ใครซื้อ ใครดื่ม มีเด็ก เยาวชนซึ่งเป็นวัยที่อยากรู้ อยากลองด้วยหรือไม่
สุดท้ายเมื่อ “เหรียญ” มี 2 ด้าน ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้น ก็ต้องมองทั้ง 2 ด้านเสมอ