*** การแถลงข่าวของโฆษก ศบค. นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน ที่บอกว่าจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดอาจจะสูงเกินกว่า 15,000 ต่อวัน ในช่วงเดือนสิงหาคมต่อกันยายน และถ้าแย่ที่สุดอาจจะโด่งไปที่กว่า 22,000 รายต่อวัน ในช่วงของสิงหาคม-กันยายน ถือว่าเป็นการส่งสัญญาณว่าเป็นไปได้ว่าอาจจะเกิดขึ้นจริง เพราะก่อนหน้านี้ รองโฆษก ศบค. พญ.อภิสมัย ศรีรังสรรค์ ก็เคยแถลงข่าวในลักษณะเดียวกันนี้ว่า จำนวนผู้ติดเชื้อโควิดจะเพิ่มขึ้นมากกว่าหมื่นคนต่อวัน ก่อนที่ตัวเลขจำนวนผู้ติดจะปรับขึ้นมาเป็นวันละหมื่นกว่าคนจริงในอีกหนึ่งสัปดาห์ถัดมา
แม้สัญญาณที่ว่าจะไม่ใช่เรื่องดี แต่สำหรับนักลงทุนแล้ว อย่างน้อยมันก็เป็นคำเตือนว่า ต้องเตรียมตัวอย่างไรกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นในอนาคต ส่วนที่ว่า ใครจะทำอย่างไรแล้วแต่มุมมอง แต่สำหรับเจ๊เมาธ์ มองว่า เป็นจังหวะที่หุ้นพื้นฐานดีหลายตัวกำลังลดราคา หรือ ถ้าหากสนใจหุ้นซิ่ง... ก็เป็นช่วงที่หุ้นซิ่งชอบมาก เพราะแรงต้านไม่ค่อยจะมี ลองหาดูให้ดี มันจะมีโอกาสอยู่ในวิกฤติเสมอเลยค่ะ
*** หุ้น SMK (สินมั่นคงประกันภัย) ถูกเทขายเนื่องจากนักลงทุนไม่เชื่อมั่นต่อบริษัทประกันภัยแห่งนี้อีกแล้ว และถึงตอนนี้คนส่วนใหญ่ที่ไม่ว่าจะเป็นหรือไม่เป็นลูกค้าของ สินมั่นคงฯ ต่างก็จำได้ว่า SMK เคยคิดและซ้ำเติมปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นในประเทศอย่างไร เพราะถ้าหาก คปภ.ไม่สั่งห้ามพร้อมทั้งเตรียมใช้กฎหมายจัดการ จนทำให้ SMK ต้องกลับลำกะทันหัน ด้วยการออกประกาศแจ้งยกเลิก “จดหมายบอกเลิกกรมธรรม์” ที่ส่งไปให้ลูกค้าของบริษัทตกใจ
อย่าลืมว่า การแสดงตัวว่าเป็น “บริษัทที่ไร้ความรับผิดชอบต่อลูกค้าและสังคม” ด้วยจดหมาย บอกเลิกกรมธรรม์ประกันภัยโควิด “เจอ จ่าย จบ” ทั้งที่บริษัทได้ขายและเก็บเงินลูกค้ามา มันเป็นเรื่องแย่ๆ ที่สำเร็จลงไปแล้ว รวมไปถึงมันได้กลายเป็น “แผลเป็น” ของอุตสาหกรรมการประกันภัยของประเทศไทยอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
เรื่องที่เกิดขึ้นถือว่า ตระกูล “ดุษฎีสุรพจน์” ไม่สามารถหลีกหนีความรับผิดชอบนี้ได้ เพราะคนตระกูลนี้ ถือหุ้นอยู่ใน SMK รวมมากกว่า 50% ทั้งในนามของบริษัทและในนามของบุคคล โดยมี “เรืองวิทย์ ดุษฎีสุรพจน์” นั่งในตำแหน่ง ประธานกรรมการ ประธานกรรมการบริหารและกรรมการผู้จัดการ ในเมื่อ “ดุษฎีสุรพจน์” เป็นทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่ เป็นทั้งผู้บริหาร และเป็นผู้กำหนดทิศทางธุรกิจของบริษัทที่ควบรวมทุกอย่างเอาไว้แบบนี้ แล้วจะให้ไปโทษ หรือถามหาความรับผิดชอบจากใครได้อีกหละเจ้าค่ะ
*** THG ประกาศว่าจะมีการลงนามในสัญญาการซื้อวัคซีนจาก “BioNTech” และ “Novavax” อย่างละ 10 ล้านโดส รวม 20 ล้านโดส ของ “หมอบุญ” นายแพทย์บุญ วนาสิน เป็นผู้บริหารสูงสุดของ บริษัท ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป (THG) ทำให้ราคาหุ้นของ THG ขยับขึ้นมา ระหว่างนี้บิ๊กโฟร์ที่ปรึกษากฎหมาย กำลังตรวจร่างสัญญาอยู่ ไม่นานคงได้เห็นการเซ็นสัญญา
แน่นอนว่า การทำธุรกิจ ยังไงมันก็คือธุรกิจ แต่เจ๊เมาธ์ อยากให้มองข้ามเรื่องหุ้น ที่นักลงทุนเอาไปผูกโยงกับวัคซีน เพราะหมอบุญ คือ รพ.ธนบุรี, รพ.ธนบุรี คือ หมอบุญ ...แล้วข้ามเรื่องหุ้น แล้วให้มองไปที่ผลรวม มองไปที่ชีวิตของประชาชนเป็นหลัก ถ้าไม่มี “หมอบุญ” ที่ออกมาตื่นตัวเรื่องวัคซีน เปิดแผลเน่าๆ ของใครหลายๆ คน ที่ตีค่าชีวิตคน ทอนเป็นเงินออกมาแจกจ่ายพรรคพวก กินกันอิ่มหมีพีมัน ทำให้คนไทยได้เปิดหู เปิดตา สว่างซะที และจะมีวัคซีนดีๆ เข้าสู่ร่างกาย ป้องกันติดหมู่ ป้องกันตายได้ ไม่ใช่ฉีดแล้ว 2-3 เข็ม ตายเกลื่อนแบบทุกวันนี้
เรื่องนี้อาจเข้าข่ายของการให้ข่าวในสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้น จนมีผลทำให้ราคาหุ้นของบริษัท ที่ผู้ให้ข่าวมีส่วนได้เสียขยับราคาขึ้นมาอย่างมีนัยสำคัญ และถ้าจำกันได้กรณีแบบนี้เคยเกิดขึ้นกับ “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ผู้บริหารของ JKN ที่ถูก ก.ล.ต.ลงดาบปรับเงิน จากกรณีให้ข่าวล่วงหน้าในเรื่องของการทำธุรกิจกัญชงและทีวิดิจิทัลช่อง 18 ที่ทำให้ราคาหุ้นของ JKN ปรับขึ้นแรงต่อเนื่องหลายวัน
ถ้าหากมองในแง่ดี ก็เป็นไปได้ว่า “หมอบุญ” ไม่มี...หรือไม่ได้ตั้งใจในการให้ข่าว “ล้ำหน้า” เรื่องวัคซีน 20 ล้านโดสที่ว่า แต่ถ้าหากว่ามองในแง่ร้าย ในกรณีของ “แอน JKN” ซึ่งได้ถูก ก.ล.ต. ปรับเงินไปเพียงแค่กว่า 2 ล้านบาท ก็อาจจะทำให้ “หมอบุญ” อยากทำ..หรือกล้าทำตามในสิ่งที่ “แอน” เคยทำไว้ ก็เป็นไปได้ ก็แหม..ปรับเงินเบาๆ ขำๆ แบบนี้ บริษัทที่จะดันราคาหุ้นที่ไหนก็มีปัญญาจ่าย เพราะถ้าจะเทียบกับราคาหุ้นที่ปรับขึ้นมา มันเทียบกันไม่ได้เลยค่ะ
*** เห็นจำนวนผู้ติดเชื้อโควิดรายวัน มันก็ทำให้ต้องมองไปที่ AOT กันอีกสักครั้ง เพราะการล็อกดาวน์ในรอบนี้มีเรื่องการควบคุมเรื่องการเดินทางด้วยอากาศยานเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย ซึ่งนั่นก็หมายความว่ารายได้ของ AOT ก็จะหายตามไปด้วยเช่นกัน อย่าลืมว่าปีนี้รายได้ของ AOT ยังคงติดลบอยู่กว่า 7 พันล้านบาท และคาดว่าปีนี้ AOT ยังมองไปเห็นโอกาสที่รายได้จะฟื้นเลย
โดยนักวิเคราะห์มองกันว่าในปี 64 บริษัทฯ อาจจะขาดทุนรวมถึง 1.5 หมื่นล้านบาท ซึ่งนี่ยังไม่รวมการขาดสภาพคล่องที่กำลังเกิดขึ้นจนทำให้ AOT จะต้องกู้เงินเข้ามาเพื่อเสริมสถาพคล่องอีกเป็นหมื่นล้านบาทเลยนี่นา อย่างไรก็ตาม สำหรับเจ๊เมาธ์ AOT ถือว่าเป็นหุ้น “เกรดเอ” ที่ควรมีไว้ในพอร์ตเป็นอย่างยิ่ง และถ้าหากได้ราคาตอนที่ถูกมากๆ ด้วยก็น่าจะดี ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นการซื้อถัว แบ่งไม้ หรือทำ DCA ถ้าทำได้ก็ทำไปเลยนะคะ โอกาสแบบนี้มีไม่บ่อยแล้วค่ะ
*** SNNP ก็เป็นหุ้นอีกหนึ่งตัวที่พิสูจน์ว่าคำแนะนำเรื่องหุ้น IPO สำหรับคนที่ได้หุ้นจอง ว่าควรจะต้องขายเปิดเท่านั้น เป็นเรื่องจริง และช่วงนี้นักลงทุนที่ได้หุ้น IPO ในราคาจองจะทำกำไรได้แทบทุกตัว ส่วนจะมากหรือน้อย ก็เป็นเรื่องที่ขึ้นอยู่กับเทคนิคของแต่ละคน แต่ในกรณีของนักลงทุนที่ไม่ได้หุ้นจอง...สิ่งที่เจ๊เมาธ์แนะนำคือ ถ้าชอบก็ให้เข้าหลังจากหุ้นผ่านการชื้อขายวันแรกไปก่อน แต่ถ้าหากรีบหรืออยากได้หุ้นตัวนั้นจริงๆ ก็แนะนำให้เข้าแบบแบ่งไม่เล่นสะสมไปเรื่อยๆ น่าจะดีที่สุด แต่ถ้าไม่รีบมากค่อยๆ หาจังหวะเข้าก็น่าจะเป็นการดีที่สุดนะคะ