รัฐบาลอยู่ได้ด้วยศรัทธาประชาชน

01 ก.ย. 2564 | 05:20 น.
อัปเดตล่าสุด :02 ก.ย. 2564 | 14:07 น.

คอลัมน์ข้าพระบาท ทาสประชาชน โดย...ประพันธุ์ คูณมี

การระบาดระลอกที่ 4 ของเชื้อไวรัสโควิด-19 ที่กลายพันธุ์เข้ามาอาละวาดในไทย เฉพาะช่วงเดือนกรกฎาคม-สิงหาคม 2564 ทำให้มีผู้ติดเชื้อตัวเลขพุ่งสูงขึ้นสู่หลักหมื่นและเสียชีวิตหลักร้อย จนระบบสาธารณสุขของประเทศแทบล่มรับไม่ไหว จำนวนเตียงผู้ป่วยไม่เพียงพอ รัฐบาลต้องล็อกดาวน์อีกครั้ง ขณะที่จำนวนวัคซีนที่จะฉีดให้ประชาชนก็ไม่เพียงพอ และขลุกขลักล่าช้า ไม่ทันกับความต้องการและความจำเป็นของสถานการณ์ 
 

กระแสสังคมต่างโหมกระหน่ำโจมตีรัฐบาลอย่างหนัก ขบวนการม็อบฝ่ายต่อต้านรัฐ สารพัดม็อบ ต่างออกอาละวาดป่วนเมืองซ้ำเติมสถานการณ์โดยจงใจ เพื่อให้รัฐบาลเสียศูนย์ ขาดสมาธิในการทำงาน และนักการเมืองฝ่ายค้าน ต่างได้โอกาสถล่มรัฐบาล เปิดเกมรุกทั้งในสภาฯและนอกสภาฯ โดยผสมโรงกับจอมบงการนักโทษหนีคดี ที่จ้องคอยหาโอกาสเพื่อกลับคืนสู่อำนาจ รัฐบาลลุงจึงตกอยู่ในฐานะตั้งรับแบบไร้กระบวนท่า เพราะไม่เคยเผชิญสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน
 

การโหมไฟทางการเมือง ที่หวังผลให้เกิดการเปลี่ยนแปลง เอื้อประโยชน์กับฝ่ายค้าน และผู้ที่ต้องการกลับคืนสู่อำนาจ จึงเกิดการแตะมือประสานเสียงกันด้วยแผนการอุบาทว์ ระหว่างการเคลื่อนไหวมวลชนนอกสภาฯ ด้วยแกนนำขบวนการเสื้อแดงเผาเมืองในอดีต เปิดหน้ามาเป็นผู้นำ ซึ่งหนีไม่พ้นการชูภาพทักษิณให้คืนเมือง 
 

ขณะในสภาฯ ฝ่ายค้านก็ยื่นญัตติเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจ นายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีเป็นรายบุคคล ด้วยคาดหวังล้มรัฐบาลลุงตู่ หากการอภิปรายลงมติแพ้ในสภาฯ ก็อาศัยปลุกกระแสนอกสภาฯ มาขับไล่ อ้างว่าประชาชนไม่ยอมรับรัฐบาล แม้จะมีเพียงประชาชนกลุ่มม็อบและพวกเสื้อแดง ที่เป็นเพียงหางเครื่อง และมวลชนจัดตั้งของฝ่ายค้าน สมุนระบอบทักษิณก็ตาม 

พวกเขาจะตะโกนแอบอ้างว่า นี่คือความต้องการของประชาชนตามมุกเดิมๆ โดยไม่ต้องถามคนทั้งประเทศหรอกว่า คนส่วนใหญ่เห็นด้วยกับม็อบ สนับสนุนฝ่ายค้านหรือไม่ ทั้งที่เอาเข้าจริงๆ แม้คนส่วนหนึ่งจะไม่พอใจต่อการบริหารจัดการของรัฐบาลในเรื่องโควิด หรือเรื่องอื่นๆ แต่ประชาชนส่วนใหญ่ที่สุดของประเทศ ก็ไม่เห็นด้วยกับกลุ่มม็อบเสื้อแดงและพวกป่วนเมือง เพราะหากรัฐบาลลุงตู่ต้องพ้นอำนาจไป ขั้วอำนาจทักษิณ หรือ พวกค้านและกลุ่มตัวแทนอำนาจจากสารพัดม็อบ ขึ้นมามีอำนาจปกครอง ประชาชนส่วนใหญ่ ก็มิได้ยอมรับ หรือ เห็นพ้องตามที่พวกเขากระทำ เพราะมองไม่เห็นอนาคต ว่าจะนำพาบ้านเมืองไปในทิศทางใด
 

บ้านเมืองขณะนี้ จึงดูเหมือนว่า "ประเทศไม่มีอนาคต ประชาชนไม่มีทางเลือก" รัฐบาลลุงตกอยู่ในกระบวนท่าตั้งรับและถอยร่น ขณะพรรคร่วมรัฐบาลก็ไม่เป็นเอกภาพ โดยเฉพาะกระบวนการตอบโต้ ชี้แจง แถลงข่าว เพื่อให้ข้อเท็จจริงแก่ประชาชน แก้การบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร สร้างความเข้าใจผิดระหว่างรัฐบาลกับประชาชน หรือการชี้แจงหักล้างเหตุผลของฝ่ายโจมตีมุ่งร้ายรัฐบาล การอธิบายเหตุผลถึงนโยบาย มาตรการที่รัฐออกมาเพื่อการแก้ไขปัญหา สำนักงานโฆษกรัฐบาล หรือหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ก็มิเคยออกมาแถลงชี้แจงต่อประชาชนในแบบเชิงรุกแต่อย่างใด 
 

ต้องคอยให้ถูกด่าถูกโจมตี โพสต์ หรือ แชร์ข้อความที่บิดเบือนต่างๆ ขยายไปในวงกว้างแล้ว รัฐบาลจึงค่อยออกมาพูดแก้ตัวในภายหลัง สร้างความหงุดหงิดและหดหู่ใจแก่ประชาชนยิ่งนัก รัฐบาลเหมือนเสียศูนย์ เสียความมั่นใจ จนทำให้คนที่เชียร์และสนับสนุนรัฐบาล ต่างมึนงงไปตามๆ กัน

การปรับเปลี่ยนสถานการณ์ทางการเมือง จากการตกเป็นฝ่ายรับมาเป็นฝ่ายรุก และทำงานในเชิงรุกที่เข้าถึงปัญหา และความทุกข์ร้อนของประชาชน แก้ไขปัญหาให้ตรงจุด เกาให้ถูกที่คัน จึงเป็นเรื่องสำคัญและจำเป็นอย่างยิ่ง ผู้เขียนเคยเสนอความเห็นต่อรัฐบาลในเรื่องนี้หลายครั้ง แต่ก็ยังไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงใดๆ จนกระทั่งเมื่อการประชุม ครม.สัปดาห์ที่ผ่านมา จึงได้ปรากฏสัญญาณการเปลี่ยนแปลงที่ดีจากนายกรัฐมนตรี
 

1. การตัดสินใจเปลี่ยนโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี หรือโฆษกรัฐบาล จากนายอนุชา บูรพชัยศรี เป็น นายธนกร วังบุญคงชนะ ถือเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง เหมาะสมกับสถานการณ์ เพราะการทำงานและบทบาทของ นายธนกร จะเป็นไปในเชิงรุกและอธิบายความ ตอบโต้ชี้แจงการบิดเบือนข้อมูลข่าวสาร ทำความเข้าใจกับประชาชนได้ดีกว่า
 

2. การแต่งตั้ง ดร.เสรี วงศ์มณฑา นักวิชาการด้านสื่อสารมวลชน และ นายเกษมสันต์ วีระกุล เป็นบรรณาธิการบริหาร เพื่อวางกลยุทธ์สื่อสารให้แก่ ศบค. เพื่อสร้างการรับรู้และสร้างความเข้าใจกับประชาชน ด้วยการนำเสนอข้อมูลที่ถูกต้องเป็นจริง ทั้งเรื่องวัคซีน ยาและเวชภัณฑ์ ยาและสมุนไพร รวมถึงการตอบโต้ แก้ ข่าวปลอม(Fake News) ให้ทันท่วงที เมื่อประสานการทำงานกับการเปลี่ยนแปลงโฆษกรัฐบาล ย่อมจะทำให้รัฐบาลมีความเข้มแข็ง ในด้านการสื่อสารกับประชาชนยิ่งขึ้น มีการทำงานในเชิงรุกมากยิ่งขึ้น ช่วยให้สถานะรัฐบาลพลิกฟื้นจากการเป็นฝ่ายรับมาเป็นรุกได้ในทันที เพราะใช้คนเก่งถูกต้องกับงาน
 

3. กระบวนการทำงานในการจัดหาวัคซีน รัฐบาลโดยนายกรัฐมนตรีและรองนายกรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้อง ได้มีการเจรจาโดยตรงกับบริษัท แอสตร้าเซเนก้า ผู้ผลิตวัคซีนโดยตรง จนสามารถบรรลุข้อตกลงในการจัดส่งวัคซีนภายปีนี้ประมาณ 61 ล้านโดส และปีหน้าอีก 60 ล้านโดส รวม 121 ล้านโดส 
 

นอกจากนี้ยังมีซิโนแวค, ไฟเซอร์, ซิโนฟาร์ม และ mRNA อีกด้วย โดยกระทรวงสาธารณสุข นพ.โอภาส การย์กวินพงศ์ อธิบดีกรมควบคุมโรค ยืนยันว่า นอกจากจะมีวัคซีนแอสตร้าเซเนก้าแล้ว รัฐบาลยังได้ลงนามในสัญญาจัดหาวัคซีน mRNA จำนวน 20 ล้านโดส, อเมริกาส่งมอบวัคซีน Pfizer ให้เบื้องต้น 1.5 ล้านโดส, จัดหาวัคซีน Sinovac จำนวน 19 ล้านโดส, จัดหาจากบริษัท Pfizer อีก 20 ล้านโดส เฉพาะภายในปีนี้มีสัญญาส่งมอบประมาณ 100 ล้านโดส นี่คือข่าวดี และข่าวในเชิงรุกจากรัฐบาลแถลง โดยไม่ต้องรอให้ใครมาด่ามาคาดคั้นถาม
 

4. เมื่อตัวเลขผู้ติดเชื้อทรงตัวและค่อยลดจำนวนลง รัฐบาลก็มีมาตรการผ่อนคลายโดยทันที โดยไม่ต้องรอให้ประชาชนมาประท้วงตะโกนด่า เพื่อให้ประชาชนและผู้ประกอบการ ร้านค้า ร้านอาหาร ศูนย์การค้า สนามกีฬากลางแจ้ง และะอื่นๆ ได้เปิดดำเนินกิจการ หลังจากต้องทนทุกข์ทรมานและได้รับผลเสียหายในทางเศรษฐกิจ รวมถึงการมีมาตรการชดเชยความเสียหายเดือดร้อนของประชาชน เนื่องจากมาตรการล็อกดาวน์ของรัฐบาล พร้อมกับเร่งระดมฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ให้เป็นธรรมและทั่วถึง สนับสนุนเครื่องตรวจ ATK ฟรีแก่ประชาชน
 

เพียง 4 มาตรการเท่าที่กล่าวมา ก็สามารถเปลี่ยนสถานะของรัฐบาล จากการตกเป็นฝ่ายตั้งรับมาเป็นฝ่ายรุก เรียกร้องความเชื่อมั่นและความศรัทธาต่อการบริหารประเทศ ให้กับรัฐบาลฟื้นกับคืนมาได้ 
 

และรัฐบาลก็ควรเดินหน้าในการฉีดวัคซีนแก่ประชาชน ให้ได้มากที่สุดถึง70-80% ของจำนวนประชากร เพื่อเปิดประเทศและให้ประชาชนกลับมาใช้ชีวิตเป็นปกติโดยเร็ว เช่นเดียวกับหลายๆ ประเทศ ที่สามารถดำเนินกิจกรรมทางธุรกิจ เดินทางท่องเที่ยว รับชมการแข่งขันกีฬา ชมดนตรี คอนเสิรต์ การแสดง มีกิจกรรมรวมหมู่อื่นๆ ได้ตามปกติเท่านั้น จึงจะเป็นอนาคตและทางรอดของรัฐบาล มีแต่การทำงานในเชิงรุก เข้าถึงปัญหาและเข้าใจประชาชน ปลดทุกข์และแก้ไขปัญหาให้พวกเขาเท่านั้น รัฐบาลจึงจะมีเสถียรภาพและมั่นคงบนศรัทธาประชาชน
 

ประชาชนไม่ต้องการความวุ่นวายในบ้านเมือง อยากให้พ้นวิกฤติ และไม่มีใครคิดหรือถวิลหารัฐบาลโคตรโกง นักโทษหนีคดี ไม่มีใครนิยมม็อบล้มเจ้า หรือการชุมนุมเผาบ้านเผาเมือง ไม่มีใครต้องการเห็นม็อบป่วนกรุงก่อความรุนแรงเป็นรายวัน และประชาชนไม่ต้องการประเทศที่ไร้อนาคต ขอเพียงแต่รัฐบาลเป็นหลักที่มั่นคงให้ประชาชนยึดถือ เป็นความหวังและอนาคตให้กับประเทศเท่านั้น รัฐบาลจึงจะอยู่ได้อย่างมั่นคง ด้วยศรัทธาของประชาชน