พ่อเลี้ยง_ป้อเลี้ยง เปนศัพท์ภาษาเหนือ เทียบได้เท่ากับนายหัว_ภาษาใต้ มีความใหญ่เขื่องกว่า นายฮ้อย ภาษาอีสานโดยยืนระยะอยู่ตรงกลางระหว่างเสี่ยค่อนไปทางเจ้าสัว โดยเลยผ่านเถ้าแก่ไปอย่างไม่เห็นฝุ่น _อ่าวก็พ่อเลี้ยงเขาเลี้ยงนี่นา ไปเสาะเยี่ยมหาเขาทีไรเขาก็เลี้ยงกินฟรีอยู่ฟรี
ณรงค์ วงศ์วรรณ ท่านเปน พ่อเลี้ยงเมืองแป้_แพร่ วาสนาบารมีครั้งหนึ่งรวบรวมเสียงข้างมากในสภาจะได้ตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ครั้งหนึ่งบนเส้นทางสายยาสูบ กลุ่มเทพวงศ์_(พิริยะเทพวงศ์ เปนราชตระกูลในสาแหรกเจ้านายฝ่ายเหนือ) ของพ่อเลี้ยงณรงค์ ปลูกใบยาสกุลเวอร์จิเนีย ในขณะที่สายเพชรบูรณ์ สุโขทัยใช้ต้นกล้าพันธุ์เบอร์ลี่ย์ และสายอีสานกลาง อย่างสารคาม ร้อยเอ็ดปลูกพันธุ์เตอร์กิช
ธุรกิจเกี่ยวเนื่องจากไร่ยาสูบก็ต้องเปนโรงบ่ม_บ่มใบยาให้คลายฉุนละมุนรส โรงบ่มโรงอบนี้สำคัญนัก จักทำมูลค่าใบไม้_ให้กลายเปนใบยา มีราคาเพิ่มขี้นอีกมากหลาย ปัจจุบันโรงบ่มโรยร้างแปลงร่างแปลงร้านกลายเปนโรงแรม!
เก๊าไม้_เก๊า นี้มันแปลว่าต้น ว่าหัว จะต้นไม้ก็ได้ ต้นตรงข้ามกับปลาย ที่เขาว่าต้น ‘เค้า’ ปลายมูล จะหัวคือของหลัก ของแก่น ของใหญ่ ก็ได้ เปนคำอารมณ์ว่าของคล้ายหัวหน้าก็ได้อย่างว่าพ้องแก่กัน สล่าเก๊า อย่างนี้แปลว่ายอดสล่า คือยอดช่างฝีมือ ส่วนเก๊าสนามหลวง คือว่าศาลารวมคนระดับนำ (ต้นเค้า) มาว่าราชกิจราชการงานเมือง_สนาม ซึ่งเปนของใหญ่_หลวง คนไทยว่าเค้าออกเสียง ค.ควาย
ส่วนว่าเก๊าอย่างว่าต้นโคนไม้ใหญ่แกน ให้ร่มให้เงาบังแดดร้อนฝน เปนชื่อโรงแรมน่ารักน่าพักแห่งหนึ่งบนถนนสายยาสูบ เจียงใหม่ไปเมืองฮอด (55 แวะพักบรรทัดนี้เพื่ออนุสรณ์คำนึงถึงความย้อนแย้งบางประการแห่งสายฝน นาฑีนี้ใครว่าฝนนั้นชุ่มเย็น ฝนตกที่ไรร้อนเปนบ้า_ร้อนใจหนักหนากลัวน้ำท่วมบ้าน)
ที่สิบสองปันนาเขามีพญาเก๊า เปล่า_มิได้เกี่ยวข้องกับกรดยูริกแต่อย่างไร เปนหัวหน้า (คนใหญ่) ในสนาม (สะ-นาม) ว่าราชการตัดสินความ บันทึกไว้เผื่อคำว่าเก๊า_ต้น/โคน/ใหญ่ จักสูญหาย
อดีตกาลนานมาใบยาบ่ม ทำมวนบุหรี่นี้เปนมูลค่าราคาแห่งของกำนัลสามิภักดิ์ พ่อแคว้น พญาเมือง ต้องนำกำนลกำนัลส่งส่วยแก่เจ้าหลวงเจ้านคร ยาเส้นเมืองสองเปนของมีชื่อ_ในความหมายว่าแพงค่าแพงคำ และเปนสินค้าเชิงภูมิศาสตร์ country of origin
พญาเขื่อนขันธ์_พ่อแคว้นเมืองสองยามตรุษสารทต้องนำยาเส้นนี้ขึ้นทูลถวายเจ้าหลวงเมืองแพร่เปนส่วยสาอากร ส่วยยาสูบคู่กับส่วยเกลือเม็ด
สองปีก่อนนี้ในงานแต่ง ผ.ศ.ณัฐพล, ชาวมหาวิทยาลัยสักคนถามขึ้นกลางวงว่า สกุล ณ แพร่มีบ้างไหม ใยเคยแต่ได้ยิน ณ น่านณ ลำพูน?
ก็เรียนตอบไปด้วยใจซื่อว่า ณ แพร่ เห็นไม่มี มีแต่แพร่พันธุ์ วงศ์วรรณ วังซ้าย แสนศิริพันธุ์วงศ์วรญาติ ฯลฯ
ทำไม?
ก็อาจจะด้วยเจ้าพิริยะเทพวงศ์ เจ้าหลวงเมืองแพร่องค์นั้นต้องข้อหากบฎร่วมกับเงี้ยวพะกาหม่อง (ไทยใหญ่) คราวกบฎเงี้ยวเมืองแพร่ แม้ภายหลังเสด็จข้ามไปลี้ภัยในเขตอาณัติฝรั่งเศสเมืองลาวร่มขาว รัฐไทยก็มิได้สถาปนาผู้ครองนครแพร่ให้เปนเจ้าอีก คงตั้งแต่บรรดาศักดิ์ชั้นขุนนาง ว่าราชการครองนคร จึงอิหลักอิเหลื่อเผื่อจะใช้สิทธิ์เรียกเชื้อเจ้าเอา ณ เณร นำหน้านามสกุลเช่นนั้นกระมัง
ณรงค์ วงศ์วรรณมีเชื้อแถวเจ้านายเมืองแพร่ สืบเสาะเลาะวงศ์มาแต่เจ้าพิริยะเทพวงศ์ลิ้นตอง (ลิ้นทองชาวนครขนานนามเจ้าหลวงองค์นี้ว่าคำอู้คำจาหวานอ่อนชวนหลงใหลไหลลิ้นทอง)
อนึ่ง เจ้านายฝ่ายเหนือสืบความเปนเจ้าได้ทั้งจากพ่อและแม่_ไม่เหมือนเจ้าเมืองกรุงสืบสายสกุลพ่อแต่เท่านั้นความเปนเจ้าของฝ่ายเหนือนี้ลูกหลานเขานับหน้าถือนัก บางคนนับถือถึงขนาดว่ารับพระราชทานตราตั้งเปนคุณหญิงแล้วไม่เอาคำคุณหญิงนำหน้าชื่อ ยังคงนำด้วยคำว่าเจ้า แล้วเอาชื่อตราไปห้อยไว้ท้ายสกุลก็มี
มารดาคนโตในวงการนั้นก็ท่านหนึ่ง ยามเขียนนามทางการใช้ว่า เจ้า+ชื่อนาม+ต.จ.
ในขณะที่ บางท่านใช้ควบ เช่น คุณหญิงเจ้าวิจันทรา หรือคุณหญิงเจ้าจันทร์คำ เช่นนี้อังกฤษ เรียก เปนละตินว่า Suo jure = Lady in her own right คือ มีฐานันดรได้ด้วยตนเองคือทางสายเลือด และ/หรือคุณสมบัติของตนเอง ไม่ได้พึ่งสามี {หมายว่าเปนเจ้าโดยเลือด-เปนคุณหญิงโดยความสามารถ-ซึ่งเขียนไว้ให้แล้วใน cat ตอนที่ 12 จาก 120 }
ป้อเลี้ยงท่านได้รับการศึกษาด้านเกษตรอุตสาหกรรมมาจากสหรัฐอเมริกา_เข้าใจว่าคือ วิชาอย่าง Estate Management ในฝั่งอังกฤษ มีความคิดก้าวหน้าก้าวไกลเกินกว่าจะหมกตัวอยู่ในนครเมืองเล็กห่างไกลอย่างแพร่ แล้วก็ให้นึกถึงบุรุษคาแรกเตอร์เดียวกันอย่างกำนันผล กลีบบัว พ่อเลี้ยงเยอรมันผู้บุกเบิกเหมืองแร่จังหวัดตะวันตก _บรรทัดนี้ขอแวะพักอีกทีเพื่ออนุสรณ์คำนึงถึงท่านสุภาพบุรุษทั้งสองฯ
ในวันที่สั่งสมวาสนาบารมีทางการเมืองเปนผู้แทนผูกขาดหลายสมัย ขึ้นชั้นรัฐมนตรีหลายกระทรวงนำ ส.ส.พรรคสามัคคีธรรมผ่าด่านเลือกตั้งจ่อขึ้นแท่นนายกรัฐมนตรี ก็พลันมีข่าวลือ (ซึ่งแปลว่าจะเปนข่าวจริงในวันพรุ่งนี้) ออกจากสำนักข่าวในสิงคโปร์ว่า ว่าที่นายกรัฐมนตรีไทยผู้นี้สหรัฐอเมริกาไม่ให้วีซ่าเข้าประเทศมหาอำนาจของเขา ในเวลาไม่นาน ยายมากาเร็ต โฆษกกระทรวงต่างประเทศอเมริกัน ก็แถลงว่าจริง_ตามนั้นส.ส. พรรคสามัคคีธรรมก็ยั้วะ แถ_ลงว่า ใครไปขอวีซ่าประเทศแกกันเมื่อไร๊ เปนนายกไทยจะไปอเมริกาทำไม๊
คนพวกรู้ดีก็ว่าจะไม่ไปแล้วจะได้แถลงนโยบายแถวสหประชาชาตินครนิวยอร์คได้อย่างไง ?
(ต่อตอน2)
นสพ.ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 หน้า 17 ฉบับที่ 3,721 วันที่ 10 - 13 ตุลาคม พ.ศ. 2564