*** ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมน้ำมันแพง แต่ราคาหุ้นน้ำมันอย่าง OR PTG BCP และ ESSO มีแต่ทรงกับทรุด เพราะสัดส่วนรายได้ที่มาจากการขายน้ำมันเชื้อเพลิงของบริษัทเหล่านี้ ยังมีอยู่สูงมากเมื่อเทียบกับรายได้อื่น ๆ โดยในส่วนของ PTG มีสัดส่วนรายได้ที่มาจากการขายน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 96% ทางด้าน OR มีสัดส่วนอยู่ที่ 91% ขณะที่ ESSO อยู่ที่ 85% และน้อยที่สุดคือ BCP ซึ่งมีสัดส่วนรายจากการขายน้ำมันเชื้อเพลิงอยู่ที่ 70%
การที่ราคาน้ำมันแพง ทำให้เจ้าของปั๊มน้ำมันทั้ง 4 ราย เริ่มเดินเข้าสู่ทางตันมีด้วยกันอยู่ 2 สาเหตุหลักๆ
เรื่องแรกคือ ต้นทุนที่เกิดจากค่าขนส่งน้ำมันเชื้อเพลิงที่จะแพงขึ้นตามราคาขายปลีกหน้าปั๊มน้ำมัน
ส่วนเรื่องที่สอง ภาครัฐ จำเป็นที่จะต้องเข้ามาควบคุมราคา โดยสิ่งที่ทำได้ง่ายที่สุดในการคุมราคาขายปลีกน้ำมันเชื้อเพลิงคือ ปรับลดค่าการตลาด ซึ่งยิ่งต้นทุนที่มาจากราคาน้ำมันดิบยิ่งแพงขึ้นเท่าไหร่ค่าการตลาดที่เคยได้ก็จะหายออกไปมากขึ้นเป็นเงาตามตัว และอาจถึงขั้นที่ทำให้ปั๊มน้ำมันยังต้องขายน้ำมันทั้ง ๆ ที่ไม่มีส่วนต่างที่จะนำเอามาคิดเป็นกำไรนั่นเอง
*** เห็นราคาหุ้น IPO น้องใหม่อย่างสีเดลต้า (DPAINT) แจ้งเกิดวันแรกเข้าตลาดเอ็มเอไอ ดีดเป็นม้า เปิดซิลลิ่ง 200% ที่ราคา 22.50 บาท จากราคาไอพีโอ 7.50 บาท ดันหุ้นไอพีโอ ตัวหลังจากนี้ที่จะเข้าตลาดหุ้น ไม่ว่าจะ TFM หรือ JP แรงแบบนี้ได้อีก
จากสีเดลต้า ทำให้เจ๊เมาธ์ อดคิดถึงหุ้นที่มีชื่อเดียวกันแต่ต่างธุรกิจอย่าง DELTA (เดลต้า อีเลคโทรนิคส์) ไม่ได้ และถ้าหากมองว่าสีเดลต้าที่กำลังกลายเป็น “ดาวรุ่ง” มันก็คล้ายกับว่า “เดลต้า อีเลคโทรนิคส์” กำลังจะกลายเป็น “ดาวร่วง” ยังไงก็ไม่รู้
เพราะนับตั้งแต่มีข่าวตลาดฯ เอาจริงในเรื่องการคุมประพฤติของหุ้นฟรีโฟลท์ต่ำ ทำให้ราคาหุ้น DELTA ร่วงลงมาจากจุดที่ราคาสูงที่สุดแล้วเกือบ 50% ซึ่งก็แน่นอนว่าจะต้องมีนักลงทุนที่ยังติดดอยอยู่เป็นจำนวนมาก และถ้าจะหวังผลการดำเนินงานก็อาจจะต้องรอไปอีกนาน DELTA มีปัญหาเรื่องของออร์เดอร์ เต็มกำลังการผลิตจนแทบจะสร้างรายได้มากไปกว่านี้ไม่ได้ ในช่วง 1-2 ปีนี้ ดังนั้นที่เจ๊เมาธ์ทำได้แค่การเอาใจช่วยเท่านั้นนะคะ ขอให้หลุดดอยกันเร็วๆ เลยค่ะ
*** หลังจากที่รัฐบาลจีนลงมาแทรกแซงตลาดถ่านหินก็ทำให้ราคาหุ้นของ BANPU ปรับราคาลงมาอย่างต่อเนื่อง เพราะแม้ว่า BANPU จะพยายามสร้างภาพว่า ไม่ได้เป็นบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวข้องกับถ่านหิน ด้วยการฉายภาพของรายได้ที่มาจากธุรกิจพลังงานอย่างครบวงจร
อย่างไรก็ตาม เจ๊เมาธ์ยังคิดว่าภาพจำที่เกี่ยวกับธุรกิจถ่านหินก็ยังคงเป็นเงาที่คอยติดตาม BANPU ไปทุกที่ แต่ก็มีอีกเรื่องที่นักลงทุนหน้าใหม่ที่พึงจะสนใจหุ้นตัวนี้ควรที่จะรู้เอาไว้บ้าง ก็คือการเพิ่มทุน 3 หุ้นเดิม ต่อ 1 หุ้นเพิ่มทุน ที่ราคาหุ้นละ 5 บาท รวมไปถึงการแจกวอแรนท์ BANPU- W4 และ BANPU-W5 ในช่วงเดือนกันยายน ทำให้ต้นทุนของผู้ถือหุ้นเดิมของ BANPU ต่ำกว่าราคาหุ้นหน้ากระดานปัจจุบันค่อนข้างมาก
ดังนั้น การที่ราคาหุ้น BANPU ถูกขายออกมาเพื่อทำกำไรบ้างจึงไม่ใช่เรื่องที่จะต้องแปลกใจแต่อย่างใด เผลอๆ เรื่องราคาถ่านหินที่ปรับลงมาจนทำให้ราคาหุ้นของ BANPU ร่วงลงหนักก็อาจจะกลายเป็นแค่เพียงแพะรับบาป ที่เกิดจากการขายทำกำไรก็อาจเป็นไปได้นะคะ ของแบบนี้มันไม่แน่ค่ะ
*** เจ๊เมาธ์ยังคงมองว่าการที่ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกขยับราคาขึ้นมาอย่างต่อเนื่องน่าจะเป็นผลดีกับหุ้นสายตรงอย่าง PTTEP มากกว่าหุ้นตัวอื่น อย่าได้ลืมว่าหลายปีก่อนตอนที่ราคาน้ำมันดิบเคลื่อนที่อยู่ในระดับเดียวกันกับตอนนี้ (85-86 ดอลลาร์/บาเรล) ตอนนั้นราคาหุ้นของ PTTEP เคลื่อนที่อยู่ในช่วงราคา 145-155 บาทเลยทีเดียว
ดังนั้น การที่ราคาหุ้นหน้ากระดานในปัจจุบันของ PTTEP ที่เคลื่อนที่อยู่แถวๆ 120 บาทจึงเป็นราคาที่น่าจะสะสมได้ แต่ถ้าหากจะมีใครมองว่า กระแสรถยนต์ไฟฟ้าจะเข้ามาทำให้ความน่าสนใจของหุ้นน้ำมันตัวนี้ปรับลดลงไปบ้างก็คิดได้นะคะ แต่สำหรับเจ๊เมาธ์ เจ๊คิดว่ากว่าที่รถยนต์ไฟฟ้าจะมีอิทธิพลกับหุ้นพลังงานจริงๆ ก็น่าจะใช้เวลาอีก 5-7 ปี โน้นเลยเจ้าค่ะ
*** พอเข้าใกล้ช่วงแจ้งผลการดำเนินงานราคาหุ้นของของ SUPER ก็จะถูกลากถูกดันขึ้นมาให้หัวใจของแมงเม่าอย่างเจ๊เมาธ์ต้องพอโตใหญ่ขึ้นมาทุกที แต่ทุกครั้งหลังจากที่ดีใจ...ราคาหุ้นก็มีอันต้องโดนทุบโดนเทแทบจะทุกครั้ง มารอบนี้ดูท่าทีแล้วก็คงจะไม่ต่างไปจากเดิมที่เคยเป็น เอาเป็นว่าเจ๊เมาธ์อยากฝากไปถึงผู้บริหารอย่างเสี่ยตั๊ม “จอมทรัพย์ โลจายะ” เหมือนที่เคยบอกมาตลอดว่า ขอให้ดูแลราคาหุ้นเอาไว้บ้าง เพราะถ้ายังเล่นเกม “ลากแล้วทุบ..ทุบแล้วลาก” แบบนี้มันก็คงจะยากที่ราคาหุ้นจะไปได้ใกล้กว่านี้ เจ๊คิดว่าเก็บกินแบบยาวๆ น่าจะดีกว่ากินเป็นคำเล็กๆ เจ้าค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,727 วันที่ 31 ตุลาคม - 3 พฤศจิกายน พ.ศ. 2564