ในสังคมเมืองของประเทศไทยเราในวันนี้ เรามักจะเห็นข่าวการทะเลาะเบาะแว้งกันของเพื่อนบ้านเป็นประจำ ผมคิดว่าสาเหตุล้วนที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆ ที่เกิดจากความเครียดเป็นส่วนใหญ่ ผมคิดว่าใครก็ตาม หากได้เพื่อนบ้านที่ไม่ดี ก็เหมือนตกนรกทั้งเป็น แต่ถ้าได้เพื่อนบ้านที่ดี บ้านเราก็อยู่ดีมีสุขครับ
ผมเป็นอีกคนหนึ่งที่โชคดีมาก ในช่วงแรกที่ผมอาศัยอยู่ที่บ้านเก่า ในซอยนั้นต้องแย่งกันหาที่จอดรถ เพื่อนบ้านก็มีพฤติกรรมแปลกๆ เราจึงหาที่อยู่ใหม่ จนมาเจอที่ดินที่เราเลือกแล้ว มาก่อสร้างบ้านกัน และโชคดีมากที่ได้มาอยู่ที่บ้านหลังนี้ เพราะตลอดสามสิบกว่าปีที่อาศัยอยู่ที่นี่ เพื่อนบ้านในซอยที่ผมอยู่อาศัย น่ารักมากๆ กันทุกบ้าน
ในซอยไม่เคยมีการส่งเสียงที่ไม่พึงปรารถนาเลย ซึ่งในช่วงที่เราหาที่ลงหลักปักฐาน เราไม่รู้หรอกครับว่า เพื่อนบ้านเราจะดีหรือไม่ ก็เหมือนซื้อหวยที่ไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าจะถูกหวยหรือไม่ ผมจึงค่อนข้างจะเห็นใจผู้ที่โชคร้าย เจอเพื่อนบ้านที่น่ารังเกียจครับ
การที่เราพออายุมากขึ้น (ไม่อยากใช้คำว่าแก่) ทุกคนล้วนไม่ต้องการสิ่งที่มาสร้างความทุกข์ใจให้เราหรอกครับ เพราะเวลาที่เหลืออยู่ในโลกใบนี้ ไม่ได้มีมากพอที่จะให้เกิดความขุ่นหมองจิตใจหรอกครับ เราทุกคนต่างอยากให้เวลาที่เราเหลืออยู่ในโลกใบนี้สดใส ชื่นบานใจทุกๆ เวลานาทีเลยครับ
เพราะหากว่ามีการขุ่นหมองจิตใจแม้แต่น้อยนิด กว่าเราจะตั้งหลักให้จิตใจผ่องใสกลับมาคืน เราอาจจะต้องใช้เวลามากกว่าตอนขุ่นหมองอีกหลายเท่า ดังนั้นพอคนเราอายุมากขึ้น มักจะไม่อยากจะมีอารมณ์ที่ขุ่นหมองหรือโมโหโกธาอะไรใคร จะต้องทำใจและความคิดที่สบายตัวสบายใจตลอดเวลา จึงจะมีความสุขที่สุดครับ
การที่ผู้สูงอายุจะมีความสุขได้ ไม่ใช่เฉพาะวัตถุนอกกาย หรือสิ่งอำนวยความสะดวกที่สามารถใช้เงินในการหาซื้อได้เท่านั้น นั่นเป็นเพียงปัจจัยหนึ่งเท่านั้นเองครับ แต่เราก็ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่า “เงินทอง” เป็นปัจจัยที่สำคัญมากๆ ที่จะใช้ในการแสวงหามาซึ่งวัตถุนอกกาย มาอำนวยความสะดวกสบายให้กับการดำรงชีวิต เราจึงขาดมันไปไม่ได้
อีกปัจจัยหนึ่งที่ไม่จำเป็นต้องใช้เงินทองในการซื้อหามาเพื่อทำให้ชีวิตเรามีความสุข ซึ่งก็คือ “จิตวิญญาณและความคิด” ที่ต้องใช้ตัวเราเองเป็นผู้กำหนดจัดหามา ซึ่งก็เป็นอีกปัจจัยที่คนมักจะมองข้ามไป เราคงเคยเห็นคนที่มีบ้านเล็กๆ แค่พอซุกหัวนอน หรือสถานะทางการเงินพอมีอยู่มีกิน แต่เขาก็มีความสุขมาก
บางครั้งอาจจะมากกว่ามหาเศรษฐีที่มีครอบครัว หรือครอบครัวที่มีคนใกล้ตัวที่คอยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่น หรือฟ้องร้องกันเพื่อให้ได้มาซึ่งทรัพย์สินเงินทองทั้งหลายทั้งปวง แล้วเกิดความทุกข์ใจเมื่อพ่ายแพ้ หรือเกิดความปีติลิงโลดใจเมื่อชนะ แต่ต้องมาเกิดศัตรูที่อยู่ใกล้ตัว
ไม่รู้ว่าวันไหนเขาจะมาแก้แค้น หรือจะมีข้อพิพาทอะไรตามมาอีก ซึ่งล้วนแต่จะสร้างความทุกข์หม่นหมองในจิตใจให้เกิดขึ้นเสียอีก ดังนั้นเมื่อผมแก่ตัวลง ผมจึงไม่อยากที่จะต้องมาคอยแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกับใครเลยครับ เราไม่ว่างที่จะมารับความทุกข์ใจนั้นครับ
อีกปัจจัยแห่งความสุขบั้นปลายชีวิต ในความคิดของผมแล้ว ผมเชื่อว่าการที่เรามีสภาพแวดล้อมที่มีแต่มิตรภาพอันงดงาม เป็นปัจจัยสำคัญในการสร้างให้เกิดความสุขได้ เช่นการได้มีโอกาสพบปะเพื่อนรัก ไม่เฉพาะแต่เพื่อนเก่าๆ เท่านั้น ถ้าเป็นเพื่อนใหม่ๆ หรือเพื่อนต่างวัย ที่สามารถทำให้เราเกิดความห่วงหาอาทรต่อกัน มีความปรารถนาดีต่อกัน ถ้ามีโอกาสได้พบปะสังสรรค์กัน ได้เสวนาร่วมกัน แลกเปลี่ยนความนึกคิดความรู้สึกต่อกัน ก็จะทำให้เกิดความสุขได้เช่นกันครับ
ผมคิดว่าการคบหาเพื่อนที่ดีๆ อย่างที่กล่าวมานั้น จะหาได้ที่ไหนละ? ในความคิดของผม ผมเชื่อว่าทุกคนเกิดมาจนกระทั่งเป็นส.ว.แล้ว จะต้องมีสังคมและเพื่อนที่ดีด้วยกันทุกคน เพื่อนดีๆ เหล่านั้นจะต้องเป็นคนที่มี “ศีลเสมอกัน” กล่าวคือต้องมีสถานะใกล้เคียงกัน จะต้องมีความคิดความอ่านที่ไม่ได้แตกต่างกันมากมายนัก จะต้องมีการศึกษาหรือความรู้ที่ใกล้เคียงกันบ้าง
เพราะถ้าหากเพื่อนๆ แต่ละคนไม่ได้ “พูดจาภาษาเดียวกัน” เมื่อเสวนาร่วมกันนานๆ เข้า คนที่ห่างชั้นกันมากๆ ก็จะได้แต่นั่งฟังเพื่อนโม้อย่างเดียว ไม่สามารถออกความเห็น ได้แต่นั่งเงียบๆ ก็จะทำให้หมดความสำคัญไป เขาอาจจะไม่สนุกในการร่วมกลุ่มเพื่อนก็เป็นไปได้ ดังนั้นถ้าหากว่าจะคบกันให้สนุกสนาน มีความสุขก็ต้องเป็นคนที่ศีลเสมอกันอย่างที่ว่านี่แหละครับ
ในชีวิตของผม อันที่จริงอายุผมเลยวัยเกษียณไปนานมากแล้ว เพียงแต่สภาพร่างกายและจิตใจ ภาระหน้าที่ เลยทำให้มองดูเหมือนว่ายังหนุ่มอยู่ ซึ่งใกล้วันที่ต้องเกษียณอายุแล้ว หวังว่าวันเวลาที่เหลืออยู่ในช่วงของการเกษียณอายุ ผมก็อยากที่จะมีสภาพแวดล้อมดังที่กล่าวมาทั้งหมดนั่นแหละครับ
ผมจึงได้ลงมือสร้างบ้านพักคนวัยเกษียณ “คัยโกเฮ้าส์” ขึ้นมา หากสักวันหนึ่งเมื่อภรรยาเบื่อขี้หน้าผม ที่นั่นอาจจะเป็นที่ๆ ผมต้องไปอาศัยอยู่ในบั้นปลายของชีวิตคนวัยชราก็ได้ครับ