มีอยู่คราวหนึ่ง เขาจัดแซววาทีกันที่ ศูนย์ประชุมเเห่งชาติสิริกิตติ์ โปรโมทการท่องเที่ยว วันนั้นผมไม่มีเอี่ยวแต่ก็ไปเดินเตร่ๆ เก็บข้อมูล รายการแซววาทีเกิดเหตุนัว พิธีกร มาสาย คนในห้องประชุมรอฟังมานานเกิน 2 ชั่วโมง เริ่มปรบมือเตือน รศ.สุขุม นวลสกุล โทรศัพท์คุยกับ พิธีกร ว่า ควรจัด ทอล์คโชว์หน้าม่าน ซื้อเวลาก่อนเริ่มรายการ ตกลงกันเสร็จ รศ.สุขุม นวลสกุล โทรมาหักคอกผมว่า
“เฮ้ย..รบกวนหน่อยสิ อีก 5 นาที คุณช่วยมาขึ้นทอล์คโชว์ขัดตาทัพรับหน้าเสื่อให้ที คืองี้ พิธีกร เขากำลังทำพิธีอยู่ตรงสี่แยกไฟแดง (ฮา) กว่าจะมาถึงไม่น้อยกว่า 30 นาที ขืนปล่อยให้เวทีว่างมีแววเฉา เขาให้คุณพูดหัวข้อนี้นะ เที่ยวให้เป็น..เล่นกันอย่างไร”
“ผมไม่มีความรู้ในประเด็นนี้ แล้วจะให้ผมพูดได้ไงล่ะครับ”
ได้ผลครับได้ผล ได้ผลร้ายเล็กๆ รศ.สุขุม นวลสกุล ท่านก็ปรี๊ดทะลักว้ากสวนมาทันทีว่า
“บ๊ะ! เงินใส่ซองรอจ่ายอยู่ตรงหน้า ถ้าคุณไม่มีปัญญาขึ้นพูดเพื่อเซ็นรับซอง ต่อไปคุณอย่ารับเป็นวิทยากรเลย นี่..คุณฟังผมนะ ถ้าอีก 5 นาที คุณขึ้นเวทีไม่ได้ก็เลิกคุยกัน” (ฮา) ผมนินทาในใจ อาจารย์สอนประชาธิปไตย ทำไมถึงใช้วิธี เผด็จการ (ฮิ้ว)
ในขณะที่กำลังฮัมเพลง คิดๆเท่าไร..คิดไม่ออกสักที แสงปลายอุโมงค์ก็สว่างวาบขึ้นฉับพลันน้องผู้ชายวัยรุ่นแต่งตัวหล่อเรียบร้อยคนหนึ่งเดินเข้ามาทักผมว่า
“อาจารย์ดอดมาเก็บเหยื่อในงานเหรอครับ”
“ประมาณนั้นเลย น้องก็มาอ่อยเหยื่อล่ะสิ”
“เปล่าครับ ผมเป็นฝ่ายวิชาการของ ททท. มาดูแลงานครับ”
ชาติก่อนผมคงจะเคยให้เขาลอกการบ้านแน่เลย (ฮา)
หลังจากเขารู้ว่าผมกำลังติดบ่วง เขารีบล้วงปัญญาเอาออกมาตัดให้เลย “มีหลักง่ายๆไม่กี่ข้อนะอาจารย์ ประหยัด, ปลอดภัย, ได้มิตร, ได้คิด…รักษ์สิ่งแวดล้อม-ถนอมวัฒนธรรม แค่นี้ก็พอ”
ตั้งแต่ผมอาสาบรรยายถวายความรู้ให้พระฟรีมา 30 ปี ผมไม่เคยอับจนเรื่องมุกและความรู้แม้แต่ครั้งเดียว ถ้าเราเล่ามุกให้วัดนี้ฟัง 7 มุก พระวัดนี้อดใจไม่ได้ก็เล่าคืนเราบ้าง 2 มุก เราก็จะมีกระสุนเพิ่มขึ้นเป็น 9 มุก ถ้าเราเล่ามุกให้วัดนั้นฟัง 9 มุก พระวัดนั้นทนไม่ได้ก็จะเล่าคืนเราอีก 3 มุก ก็เพิ่มขึ้นเป็น 12 มุก
บริษัทยักษ์ใหญ่ในสังคมไทยมอบหมายให้ ผู้จัดการฝ่ายอบรม โทรมาสอนผมให้ผมเข้าถึง ชุดความเชื่อ ในการทำงานกับองค์กรธุรกิจว่า คนทุกคนในบริษัทคือพนักงานขาย คุยกันหลายคำจนผมเข้าถึงแก่นสารสำคัญเห็นมโนภาพได้เลยว่า โอกาสที่ลูกค้าจะนัว โทรเข้ามาคุยเรื่องสินค้าผิดแผนก เดินเข้ามาถามเรื่องสินค้าผิดห้อง ถ้าพนักงานในส่วนนั้น ไม่รู้เรื่องอะไรเกี่ยวกับสินค้าของบริษัทเลย โอกาสที่จะได้แจ้งเกิดเป็นหัวหน้าเห็นจะยาก สอนผมเสร็จท่านก็เชิญผมบรรยายให้พนักงานฟังกันทั้งบริษัท ผมก็เล่าแนวคิดให้พนักงานในห้องประชุมฟังว่า
ถ้าเราถาม รปภ. ตรงป้อมยามว่า “ตู้เย็นของบริษัทนี้ เขาได้ตรารับรองว่าประหยัดไฟเบอร์ไหนครับ” รปภ. เขาก็ตบเท้าตะเบ๊ะพรึบตอบว่า “เบอร์ 5 ครับท่าน ที่บ้านผมก็ใช้ ครับผม” มันเป็นหน้าเป็นตา เคยแวะบู้ธกล้องถ่ายรูปในห้างใหญ่ ขอให้พนักงานช่วยเปิดกล้องให้ดุหน่อย พนักงานขายเปิดไม่ได้ อีกคนคุยอยู่กับ
ลูกค้าหันมาเห็นก็เข้ามาช่วย กดปุ่มปั๊บฝากล้องก็เด้งดึ๋ง แสดงว่า คนแรกไม่ทำการบ้านเกี่ยวกับสินค้าเลย วันร้ายคืนร้ายลูกค้าก็ซี้ซั้วโทรเข้าไปถามเรื่องกาวแท่งกับฝ่ายธุรการว่า “ผมเห็นภาพที่โปรโมทในนแม็กกาซีนปลอกที่เป็นฝาครอบของแท่งกาว อันหนึ่งสีแดง อันหนึ่งสีเขียว มันต่างกันอย่างไรเหรอครับ” ถ้าพนักงานคนนั้นตอบว่า “ไม่รู้เหมือนกันนะ ผมไม่ใช่พนักงานขาย ที่บ้านไม่เคยใช้กาวแท่ง เมียผมกวนแป้งเปียก” (ฮา) รับประกันว่า ยอดขายมันไม่เพิ่ม ได้เท่าเดิมเพราะผีผลัก กว่าจะเข้าใจชีวิตก็สิ้นปี รู้ตัวอีกทีได้รับโบนัสน้อยจัง!
ผู้หญิงมาคลอดลูกส่งเสียงคร่ำครวญว่า “ไม่เอาอีกแล้ว…ไม่เอาอีกแล้ว” ผู้ช่วยพยาบาล อดใจไม่ได้จึงปล่อยของไปดอกหนึ่งว่า “ปีที่แล้วพี่ก็ครางอย่างนี้ เอาเข้าจริงพี่ก็ป่องเหมือนเดิม” (ฮา) คนเฝ้าไข้ขำกลิ้ง ส่วนคนคลอดก็บิดตัวไปมาแบบไม่มีซาวด์แทร็คแม้แต่แอะเดียว (ฮา) ปีถัด มาก็ป่องอีก คลอดอีกเธอก็ครางอีก ไม่มีใครในห้องคลอดได้ยินเสียงคราง เพราะว่า เธอย้ายไปครางที่โรงพยาบาลอื่น (ฮา)
ยอดขายจะดีจัด โบนัสจะโดดเด่น ถ้าพนักงานทุกคน ร่วมใจกันเป็น นักขาย ระดับ “กูรู้”