บ๊ายบาย...DELTA

21 ธ.ค. 2564 | 23:30 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** ตราบใดที่ไม่มีปัจจัยเด่น...หรือดีเป็นของตัวเอง ดัชนีหุ้นของไทยยังต้องเดินตาม หรือ อ้างอิงตามตลาดหุ้นในต่างประเทศไปแบบนี้ และยิ่งเป็นยุคที่ใครก็สามารถเข้าถึงข้อมูลได้ง่ายๆ แบบนี้...การเข้าถึงข้อมูลได้เร็วกว่ารวมถึงวิเคราะห์ข้อมูลได้ลึกและแม่นยำกว่ากลายเป็นดัชนีชี้วัดว่า ใครจะมีโอกาสประสบความสำเร็จได้มากกว่า ซึ่งทำให้การเสพและวิเคราะห์ข่าวเป็นสิ่งจำเป็น เช่นกัน...การดูกราฟและการใช้ข้อมูลทางเทคนิค มันก็คือการหาจังหวะเพื่อที่จะ “เข้าได้ก่อนและออกให้เร็วกว่า” ซึ่งก็คือการจับจังหวะหรือการสร้างความเร็วนั่นเอง ดังนั้นเจ๊เมาธ์จึงคิดว่าการใช้ทั้งข่าวสารและข้อมูลด้านเทคนิคเข้ามาประสานรวมกันก็เป็นทางเลือกที่ดี เพราะถึงตอนนี้ใครมีข้อมูล เข้าถึงและวิเคราะห์ได้มากกว่า ก็จะอยู่รอดได้ง่ายกว่าเจ้าค่ะ 
 

*** ในที่สุด DELTA ก็ถูก “ให้ออก” จากดัชนีคำนวณ SET50 และ SET100 เพราะเรื่องของอัตราส่วนการถือหุ้นของผู้ถือหุ้นรายย่อย (Free float) ที่มีเพียง 22.35% ซึ่งถือว่าน้อยเกินไป ซึ่งถ้าเป็นหุ้นตัวอื่น การหลุดจาก SET50 และ SET100 ความเชื่อมั่นของนักลงทุนทั้งในและต่างประเทศดูน่าจะสร้างผลกระทบให้เกิดกับมูลค่าหุ้นได้มากกว่าเรื่องอื่น

แต่สำหรับ DELTA ดูเหมือนว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นกลับกลายเป็นเรื่องของการที่จะไม่มี DW (Derivative Warrant) ออกมาให้เล่นมากกว่าเรื่องอื่น 
  

อย่าลืมว่าการที่มีราคาหุ้นค่อนข้างสูงทำให้การเล่นเก็งกำไรหุ้น DELTA ทำได้ยากเพราะมีต้นทุนเกินไป และเมื่อไม่มี DW ก็จะทำให้เกมการลากราคาเพื่อดูดเงินออกจากกระเป๋ารายย่อยทำไม่ได้อีกแล้ว ซึ่งเมื่อไม่สามารถเล่นเกมลากราคาหุ้นแม่เพื่อดันราคาหุ้นลูก ราคาหุ้นแม่ที่แพงมาก...แต่มีผู้เล่นน้อย (Free float ต่ำ) ก็จะถูกมองข้ามจนไม่มีใครสนใจ คราวนี้หละ...เมื่อไม่มีใครสนใจ ราคาหุ้นที่แท้จริงของ DELTA ก็จะปรากฏตัวออกมาให้เห็น ส่วนจะเป็นราคาที่เท่าไหร่อีกไม่นานก็จะได้รู้กันแล้วค่ะ

*** ถ้าจะมองว่า AOT คือหลุมหลบภัยสำหรับนักลงทุนเพราะเป็นหุ้นผูกขาด เป็นหุ้นเสือนอนกินที่ไม่มีวันเจ๊งก็อาจจะพอคิดกันได้ แต่หากมองไปที่การเสียโอกาสทางด้านการลงทุน ดูเหมือนว่าการที่นักลงทุนเอาเงินมาวางไว้กับ AOT ในช่วงเวลาปีกว่าๆ ที่ผ่านมาแทบจะไม่ต่างกับการเอาเงินใส่ตุ่มไปฝังดิน เพราะจะไม่งอกเงยแล้วยังมีความเสี่ยงกับการสูญเสียเงินต้นอีกด้วย อย่าลืมว่าปี 64 (AOT นับรอบปฏิทินก่อนบริษัทอื่น 1 ไตรมาส) ที่ผ่านมา AOT ขาดทุนถึง 1.63 หมื่นล้าน และมีการประเมินกันปี 65 บริษัทฯ ยังจะขาดทุนต่อไปอีก 1 ปี ซึ่งก็จะทำให้ราคาหุ้นจะมีปัจจัยกระตุ้นเพียงแค่เรื่องของกระแสของโควิด และกระแสการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโดยที่ไม่มีเรื่องของรายได้เข้ามาเกี่ยวข้องด้วยอีก 1 ปีเช่นกัน ดังนั้นถ้าใครจะลงทุนใน AOT ก็ลองเปรียบเทียบกับหุ้นตัวอื่นๆ เอาไว้บ้างก็ดีนะคะ ของแบบนี้มันก็จำเป็นต้องพิจารณาและเลือกให้ดีด้วยเช่นกันค่ะ  
 

*** ในบรรดาหุ้นโลจีสติกส์ดูเหมือนว่าจะมีหุ้น 2 ตัวใน 2 ตลาด ซึ่งโดดเด่นกว่าหุ้นตัวอื่นในกลุ่มเดียวกัน ตัวแรกคือ III ซึ่งเป็นหุ้นโลจีสติกส์ที่จดทะเบียนอยู่ในตลาด SET ส่วนอีกตัวคือ LEO ซึ่งจดทะเบียนอยู่ในตลาด mai โดยจะเอาหุ้นทั้งสองตัวมาเปรียบเทียบกัน หลายสำนักอาจจะบอกว่าหุ้นที่ไม่ได้อยู่ในตลาดเดียวกันเอามาเปรียบเทียบกันยากเกินไป แต่สำหรับมุมมองของเจ๊เมาธ์ เจ๊กลับมองว่าหุ้นในตลาดเล็กอย่าง LEO ดูเหมือนว่าจะมีความคล่องตัวในเรื่องการปรับตัวเพื่อเปิดรับโอกาสใหม่ๆ ทางธุรกิจได้ง่ายกว่า และหากมองไปที่เรื่องของรายได้ พบว่าในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา LEO มีรายได้มากกว่า เพียงแต่ด้วยความที่บริษัทกำลังขยายธุรกิจทำให้ตัวของกำไร และอัตราส่วนในการทำกำไรของ LEO ดูจะต่ำกว่าทางฟากของ III 
 

อย่างไรก็ตาม หากพูดถึงโอกาสในอนาคตของหุ้นทั้งสองตัว ในมุมมองเจ๊เมาธ์...เจ๊มองว่าทางด้านของ LEO ดูจะเหนือกว่าอยู่พอสมควร ส่วนถ้าจะเหนือกว่าแค่ไหนก็คงต้องใช้ราคาหุ้นมาเทียบกันอีกที มาตามดูกันนะคะ...อีกไม่นานก็ได้รู้กันเจ้าค่ะ


*** บอกตรงๆ ว่าเห็นราคาหุ้นของ JMT วิ่งแรงขึ้นมาเจ๊เมาธ์ ก็อดที่จะห่วงแฟนๆ ของเจ๊ไม่ได้ แต่บอกก่อนว่าที่เป็นห่วงไม่ใช่เพราะหุ้นไม่ดี เพียงแต่ที่ว่าเป็นห่วง ก็เป็นเพราะตอนนี้ราคาหุ้นมันแรงกว่าพื้นฐานมากไปเท่านั้น ซึ่งด้วยความแรงแบบนี้ทำให้โอกาสจะเกิดการถูกเทขายทำกำไรมีเพิ่มมากขึ้น ขณะเดียวกันหากมองราคาหุ้นของ JMT ผ่านทางกราฟเทคนิคก็จะเห็นว่าราคาหุ้นได้ทะลุจุด Overbought มาค่อนข้างจะมาก ดังนั้นถ้าหากได้กำไรเจ๊เมาธ์ก็แนะนำว่าควรจะล็อกเป็นเงินสดเอาไว้บ้างนะคะ ถ้าเป็นเงินสดจริงๆ แล้วถึงจะนับเป็นกำไรของจริงเจ้าค่ะ 


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,742 วันที่ 23 - 25 ธันวาคม พ.ศ. 2564