*** เจ๊เมาธ์ไม่รู้ว่าจะอธิบาย...หรือบรรยายถึงบรรยากาศของตลาดหุ้นไทยในช่วงหลายปีที่ผ่านมายังไงดี ไม่รู้ว่าผู้บริหารผู้กำกับยุคนี้ต้องการจะส่งเสริม...หรือถ่วงตลาดกันแน่ เพราะหุ้นใหญ่อย่าง OR BAM AWC KEX และอีกหลายตัวที่ราคาหุ้น ยิ่งอยู่นานไปยิ่งเตี้ยลง...ราคาหุ้นไม่ขยับ จนกระทั่งถึงขนาดถอยลงทุกวัน
ขณะที่บรรดาหุ้นตัวเล็ก ตัวน้อยต่างก็พากันเดี้ยง เพราะพิษมาตรฐานการพิจารณา ที่เป็นส่วนบุคคลเฉพาะตัว ที่เรียกว่าไม่มีในสากลไหนเขาทำกัน ทำให้ดึงแข้ง พันขา บริษัทจดทะเบียนสามารถขยับหรือทำอะไรได้หรือไม่ได้อย่างเท่าที่ควรจะเป็น
มาตรฐานการพิจารณา เริ่มต้นมาตั้งแต่เรื่องออกหนังสือเตือน เรื่องเกณฑ์ในการพิจารณาการติดแคชฯ (หลักทรัพย์ที่เข้าข่ายมาตรการกำกับการซื้อขาย) ตอนนี้บรรดาผู้บริหารต่างพูดกันเรื่องเดียวว่า ไม่รู้ว่าทาง ก.ล.ต. ใช้มาตรฐานอะไรมาตัดสินว่า ควรจะปล่อยให้ราคาหุ้นของบริษัทไหนวิ่ง หรือไม่วิ่ง เพราะบางบริษัทค่าพีอีก็ไม่สูง...ปริมาณการซื้อขายก็ไม่มาก แต่ต้องมาติดแคชฯซ้ำแล้ว ซ้ำอีก จนราคาไม่ไปไหน
ขณะที่บางบริษัทราคาหุ้น ค่าพีอีก็สูงเกินไป...ราคาหุ้นก็เหวี่ยงมาก รวมถึงมีปริมาณการซื้อขายที่มากผิดปกติ แต่ก็ไม่ติดแคชฯ...หรือติดอยู่ ก็ยังหลุดออกมาได้ อาจเป็นเพราะไม่มีกฎที่กำหนดให้ ก.ล.ต. ต้องแจ้งถึงสาเหตุของการกำหนดให้บริษัทไหน ติดแคช...หรือปล่อยให้หลุดออกมา ดังนั้น เมื่อไม่ต้องอธิบาย ก็เลยทำให้เจ้าหน้าที่ของ ก.ล.ต. ใช้ดุลยพินิจในการพิจารณาก็เป็นไปได้ สะดับตรับฟังแล้ว ก.ล.ต.เข้าไปพิจารณาในรายละเอียดหน่อยนะเจ้าค่ะ เพราะรักดอกจึงบอกกล่าว
*** มาที่เรื่องของการปลดเครื่องหมาย SP เพื่อให้บริษัทที่มีคุณสมบัติในการกลับเข้ามาซื้อขาย (Resume Trade) เช่น ในกรณีของ บริษัท เวิลด์ คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) (WORLD) ซึ่งดูเหมือนว่าจะมีคุณสมบัติครบถ้วนตามเกณฑ์ที่จะสามารถกลับเขามาทำการซื้อขายหุ้น (Resume Trade) ได้อีกตั้งหลายปีแล้ว แต่ก็ไม่สามารถกลับเข้ามา โดยพูดกันแต่เพียงว่า ไม่มีปัญหาอะไร...
ในขณะที่มีบริษัทซึ่งมีลักษณะที่ดูไม่น่าไว้วางใจหลายบริษัท กลับสามารถเข้ามาทำการซื้อขายได้ โดยที่ไม่มีปัญหา เจ๊เมาธ์ก็ได้แต่บ่นไปลอยๆ และมีความหวังให้ตลาดหุ้นไทย ยังแข่งขันกับประเทศรอบๆ ข้างได้ แต่คงเป็นเพียงหวังและฝันกลางวันเสียแล้วซะกระมั้ง เพราะดูเหมือนเขาทั้งหลาย จะคอยดึง คอยฉุดรั้งมากกว่า สนับสนุนให้เดินหน้านะเจ้าค่ะ
*** หลังจากที่กดราคาจนแมงเม่า คายของออกมาหมดแล้ว ก็ถึงเวลาที่ CGH จะได้เวลาขยับราคาอีกสักที และแน่นอนว่าหลังจากนี้เรื่องดีๆ หลายเรื่องที่กำลังจะเกิดขึ้นก็จะถูกดันออกมาให้เห็นเป็นฉากๆ เริ่มจากเรื่องการเปลี่ยนชื่อของ บล.คันทรี่ กรุ๊ป (CGS) เปลี่ยนมาเป็น บล.พาย (Pi)
ตามด้วยเรื่องของผลการดำเนินงานของ CGH ที่ปีนี้โดดเด่นมาก มีเรื่องของการเดินหน้าลุยตลาดสินทรัพย์ดิจิทัลผ่านทาง บ.คริปโตมายด์ รวมถึงการเปิดตัวแอพพลิเคชั่นที่ใช้ในการซื้อขายหลักทรัพย์ที่รวมเอาทุกอย่างมาไว้ในแอปเดียวเท่านั้น เอาเป็นว่าจับตาดู CGH เอาไว้ให้ดี เพราะการเปลี่ยนแปลงที่ว่านี้จะไม่ได้เกิดขึ้นแค่กับธุรกิจของบริษัทเท่านั้นนะคะ ราคาหุ้นก็จะเปลี่ยนไปด้วยแน่นอนเจ้าค่ะ
*** ปูนใหญ่ SCC กำลังจะผลักดันให้ SCGC (บริษัท เอสซีจี เคมิคอลส์ จำกัด) ขายหุ้น IPO ให้กับประชาชนและนักลงทุนทั่วไปจำนวน 3,854,685,000 หุ้น มูลค่าหุ้นที่ตราไว้หุ้นละ 10 บาท และถึงแม้ว่าจะยังไม่รู้แน่ว่ากำหนดการขายหุ้น IPO ของ SCGC จะออกมาเมื่อไหร่กันแน่ แต่ก็ชัดเจนว่าหุ้นตัวนี้จะเป็นหุ้นใหญ่อีกตัวที่เข้ามาผลักดันให้ตลาดหุ้นไทยก้าวขึ้นไปได้อีกขั้น...
ในขณะที่ถ้าหากมองเรื่องผลตอบแทนจากราคาหุ้นแล้ว เจ๊เมาธ์คิดว่า SCGC น่าจะไม่ได้ด้อยไปกว่า SCGP บริษัทลูกของ SCC ซึ่งเข้าตลาดมาก่อนหน้านี้ บอกเลยว่า SCGC น่าสนใจมากเจ้าค่ะ
*** ดูทางลมแล้วท่าทาง TRUE กับ DTAC คงจะควบรวมกิจการกันได้จริง แต่ประเด็นคือ หลังจากควบรวมกิจการเข้าด้วยกันแล้วมูลค่าหุ้นที่เหมาะสมของบริษัทเกิดใหม่ที่ว่านี้จะมีราคาอยู่ที่เท่าไหร่กันแน่
นักวิเคราะห์ได้ประเมินว่าในเบื้องต้นน่าจะมีมูลค่าอยู่ราวๆ 2.02-2.45 บาท หรือคิดเป็นราคาเป้าหมายปี 2565 ของ TRUE ที่ 4.90-5.90 บาท ขณะที่มูลค่าของ DTAC ในปี 65 น่าจะอยู่ที่ 49.00-60.00 บาท
อย่างไรก็ตาม ปัญหาการควบรวมที่อาจจะต้องตีความในเรื่องการเกิดอำนาจเหนือตลาด จนทำให้สำนักงานคณะกรรมการการแข่งขันทางการค้า จะต้องตีความและพิจารณาอาจทำให้เกิดความล่าช้าหรือเกิดกติกาใหม่ๆ ขึ้นมาอีก ซึ่งอาจส่งผลโดยตรงกับกิจการและราคาหุ้นในอนาคต
ดังนั้น ถ้าหากจะหวังเรื่องการกินคำใหญ่ๆ ก็อาจจะต้องใช้เวลานานมากกว่าที่คิดนะคะ แต่ถ้าเล่นรอบ...เล่นเก็งกำไรก็น่าจะพอได้เจ้าค่ะ
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 41 ฉบับที่ 3,754 วันที่ 3 - 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565