ส่อง หุ้นหลบภัยสงคราม

04 มี.ค. 2565 | 00:35 น.
อัปเดตล่าสุด :04 มี.ค. 2565 | 06:15 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By…เจ๊เมาธ์

*** สถานการณ์ชายแดนของรัสเซียและยูเครน ไม่ใช่เพียงสงครามระหว่างสองประเทศ มันกลายมาเป็นสงครามระหว่างรัสเซียกับยูเครน และประเทศผู้สนับสนุนยูเครนด้วย ทั้งสหรัฐและยุโรป งัดมาตรการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจขึ้นมาตอบโต้รัสเซีย จนทำให้สินค้าที่เกี่ยวข้องกับพลังงานในตลาดโลก ไม่ว่าจะเป็นน้ำมันดิบ ก๊าซธรรมชาติและถ่านหิน ราคาพุ่งแรงขึ้นมา
 

โดยตั้งแต่ต้นเดือนมกราคมเป็นต้นมา ราคาน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติในตลาดโลกล้วนแล้วแต่ปรับราคาขึ้นมากกว่า 25% ขณะที่ราคาถ่านหินกลับดูจะแรงยิ่งกว่า เนื่องจากถูกดันราคาขึ้นมาแล้วถึง 80% เลยทีเดียว ทำให้หุ้นกลุ่มพลังงาน โรงกลั่น และธนาคาร ดูน่าสนใจมากขึ้นในสายตาของเจ๊เมาธ์นั่นเอง
 

*** PTTEP ซึ่งเป็นบริษัทที่ทำธุรกิจในการผลิตและขายสินค้า ที่เกี่ยวข้องกับปิโตรเคมีทั้งน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติ ได้รับปัจจัยหนุนไปเต็มๆ จากราคาของน้ำมันดิบและก๊าซธรรมชาติที่ปรับราคาสูงขึ้น ซึ่งจนถึงตอนนี้ราคาขายสินค้าได้วิ่งไปจนสูงกว่าราคาต้นทุนซึ่งรวมๆ แล้วไม่ต่ำกว่า 3 เท่าตัว (ต้นทุนการผลิตของ PTTEP เท่ากับ 28.18 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล) ซึ่งกำไรที่ปรับเพิ่มสูงขึ้นนี้จะสามารถเห็นได้อย่างชัดเจนในงบผลการดำเนินงานไตรมาสที่ 1/65 ซึ่งจะถูกประกาศออกมาในช่วงเดือนพฤษภาคม 

 

​*** ด้าน BANPU ที่ราคาเริ่มชัดเจนขึ้นมาหลังการเริ่มต้นการทำสงครามของรัสเซียและยูเครน มีสาเหตุมาจาก 2 เรื่องด้วยกัน อย่างแรกก็เป็นเรื่องของผลการดำเนินงานที่ปรับตัวขึ้นมาเป็นบวกตั้งแต่ต้นปีและมาโดดเด่นมากที่สุดในไตรมาสที่ 4/64 ซึ่งมีกำไรถึง 3.5 พันล้าน โดยมีรายได้ที่มาจากการขายถ่านหินอยู่ราวๆ 1 แสนล้านบาท ซึ่งนอกจากนั้นก็ยังมีรายได้ที่มาจากการขายก๊าซธรรมชาติ และพลังงานชนิดอื่นๆ อีกหลายอย่างคิดเป็นรายได้กว่า 1.33 แสนล้านบาท ซึ่งเห็นทรงแบบนี้แล้วทำให้เจ๊เมาธ์มองว่าราคาหุ้นของ BANPU น่าจะยังไปต่อได้อีกไกลเลยค่ะ 
 

*** ขณะที่อีกหุ้นในกลุ่มโรงกลั่นน้ำมันอย่าง TOP IRPC SPRC BCP และ ESSO ที่ดูแล้วอาจจะมาช้าไปบ้าง แต่เจ๊เมาธ์มองว่ากลุ่มนี้ถึงจะมาช้า แต่ก็น่าจะมาแน่นอน อย่างแรกก็เป็นเพราะการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงที่กลับมาเพิ่มมากขึ้น จนทำให้ยอดขายน้ำมันเชื้อเพลิงเริ่มกลับเข้าสู่ภาวะก่อนช่วงโควิด และอย่างที่สองคือ ค่าการกลั่นที่เป็นแหล่งรายได้ของโรงกลั่นน้ำมันทั้งทั้งหลายที่นับจากช่วงต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมามีราคาปรับเพิ่มขึ้นมากกว่าเท่าตัว (จาก 7.74 ขึ้นมาเป็น 16.64 ดอลลาร์/บาร์เรล) ซึ่งน่าจะได้เห็นผลการดำเนินงานที่โดดเด่นขึ้นมา ภายหลังการแจ้งผลการดำเนินงานในช่วงเดือนพฤษภาคมเช่นกัน
 

*** ส่วนทางหุ้นกลุ่มธนาคารอย่าง KBANK SCB และ BBL ซึ่งเป็นกลุ่มหุ้นธนาคารใหญ่ก็เป็นอีกกลุ่มหนึ่ง ที่น่าจะได้ไปต่ออีกเช่นกัน โดยล่าสุด เจอโรม พาวด์เวล ซึ่งเป็นผู้ว่าการเฟด ก็ได้ออกมาบอกแล้วว่า เฟดจะไม่ขึ้นดอกเบี้ยไปสูงถึง 0.50% ในเดือนมีนาคมนี้ แต่ก็ยังคาดว่าจะขึ้นดอกเบี้ยราวๆ 0.25% ซึ่งหมายความว่าจะมีการขึ้นดอกเบี้ยแน่นอนนั่นเอง

 

ขณะเดียวกันหากจะมองไปที่ภาวเงินเฟ้อที่กำลังจะเกิดขึ้นตามมา หลังจากที่ราคาสินค้ากลุ่มพลังงานปรับราคาสูงขึ้นก็ทำให้โอกาสที่ทาง ธปท. ก็อาจจะต้องปรับขึ้นดอกเบี้ยตามหลังเฟดขึ้นไปด้วยในเวลาอีกไม่นาน ดังนั้นหุ้นในกลุ่มธนาคารจึงเป็นอีกหนึ่งในกลุ่มหุ้นที่เจ๊เมาธ์คิดว่าดูดีเช่นเดียวกันค่ะ
 

*** สุดท้ายมาที่หุ้นใกล้ตัวอย่าง CPALL ซึ่งเป็นหุ้นที่ไม่ว่าภาวะเศรษฐกิจโลกจะอยู่ในภาวะแบบใดก็ตาม หุ้นตัวนี้จะเป็นหุ้นตัวสุดท้ายที่จะรับผลกระทบที่รุนแรง แน่นอนว่าในช่วงโควิดที่ผ่านมาดูเหมือนว่า กำไรของ CPALL อาจจะลดลงไปพอสมควร แต่ถ้ามองไปที่เรื่องของรายได้กลับพบว่า มีการขยายตัวของรายได้ที่เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งถ้าหากมองหาหุ้นหลุมหลบภัย เจ๊เมาธ์ก็มองว่าในจังหวะนี้ CPALL น่าจะเป็นหุ้นที่เชฟมากที่สุดอีกตัวหนึ่งเจ้าค่ะ
 
หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,763 วันที่ 6 - 9 มีนาคม พ.ศ. 2565