หุ้นขุดเหมือง... ลุกช้าจ่ายรอบวง

17 ก.พ. 2565 | 23:30 น.

คอลัมน์เมาธ์ทุกอำเภอ By...เจ๊เมาธ์

*** หุ้นขุดเหมืองบิตคอยน์ ตัวแรกที่ประกาศผลงาน JTS กำไรรวมทั้งปี  2564 221 ล้านบาท...รายได้ขุดเหมืองมีแค่ 16.53 ล้านบาท เมื่อลงรายละเอียดพบว่า ทั้งปี JTS  ขุดบิตคอยน์ได้ 9.59 เหรียญบิทคอนย์ เฉพาะ Q 4/64 ขุดได้ 6.77 เหรียญบิตคอนย์ จากเครื่องขุด  315 เครื่อง และหากจำไม่ผิด เจ๊เมาธ์จำได้ว่า JTS ได้ประกาศแผนการทำธุรกิจเหมืองขุดบิตคอยน์เอาไว้ตั้งแต่ต้นปี แต่พึ่งจะมาเริ่มต้นเช่าสถานที่เพื่อวางเครื่องขุดในปลายเดือนพฤศจิกายน จนถึงสิ้นปี 64 ทาง JTS ก็มีเครื่องขุดที่ใช้งานได้เพียง 315 เครื่องจาก 1,725 เครื่องที่ได้สั่งซื้อไปแล้ว 
 

ถึงตอนนี้จะเพิ่มอีกกี่เครื่องก็ไม่รู้...และรายได้ในอนาคตจะดีจริง คุ้มค่ากับการลงทุนแค่ไหนก็ยังไม่รู้ ดูจากเหรียญที่ขุดได้ กับการลงทุนแล้ว คุ้มค่าหรือไม่ ??? แต่ราคาหุ้นไปดาวอังคาร พี/อี กว่า 1,100 เท่า ราคาหุ้นวิ่งนำกำไรไปไกลโข...ใครลุกช้า ก็ต้องจ่ายรอบวง กติกาที่ไม่มีใครตั้งไว้ 

ที่เจ๊เมาธ์พูดมาทั้งหมดนี้ ไม่ได้บอกว่า แผนการทำเหมืองขุดบิตคอยน์จะมีปัญหา แต่เจ๊คิดว่าปัญหาไม่มีกติกาคอยควบคุม ปล่อยให้มีการตีข่าวโหมกระแสที่ขาดการควบคุมจนทำให้ธุรกิจธรรมดาที่ไม่มีอะไรกลายเป็นธุรกิจเทพ และหุ้นธรรมดากลายเป็นหุ้นเทพ โดยที่พื้นฐานไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง...ซึ่งมันก็คือการบิดเบือนตลาดฯ โดยที่ไม่มีใครทำอะไรได้นั้นเอง 
 

*** OR แจ้งผลการดำเนินงานงวดปี 64 ออกมา กำไร 11,474 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 30.5% จากปี 63 ที่มีกำไรสุทธิ 8,791 ล้านบาท ซึ่งกำไรที่เพิ่มขึ้นเป็นผลโดยตรงมาจากยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น แม้ว่าค่าการตลาดที่เกิดจากการแทรกแซงราคาน้ำมันของภาครัฐ จะทำให้ค่าการตลาดซึ่งเป็นฐานกำไรหลักปรับลดลง รวมถึงปริมาณขาย Jet Fuel ที่ฟื้นตัวตามปริมาณการเดินทางระหว่างประเทศ ขณะที่ธุรกิจ Non-Oil ของ OR ก็เริ่มสร้างรายได้ในสัดส่วนมากขึ้นเมื่อเทียบกับรายได้หลักจากการขายน้ำมัน ซึ่งทำให้เจ๊เมาธ์มองว่า OR ในระดับราคานี้เป็นหุ้นที่น่าสะสมอยู่ไม่น้อย 
 

แม้ว่าราคาหุ้น OR ผ่านมุมมองนักวิเคราะห์ที่บอกว่าราคาหุ้นอยู่ในจุดที่เต็มมูลค่า แต่หากมองในระยะยาว กระแสรถยนต์ EV ทำให้ธุรกิจสถานประจุไฟฟ้า หุ้นที่ทำธุรกิจนี้ ถูกดันราคาขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ขณะที่รายได้ที่มาจาก Non-Oil จะดีขึ้นตามจำนวนของผู้ใช้รถยนต์ EV ก็จะเพิ่มมากขึ้นไปด้วย เอาเป็นว่าในมุมมองของเจ๊เมาธ์ เจ๊ยังคงมองว่า OR เป็นหุ้นที่น่าสะสมในระยะยาว ประมาณว่ายิ่งราคาถูก...ยิ่งต้องซื้อเพิ่ม นั้นเองเจ้าค่ะ


*** CPALL หุ้นชี้วัดภาวะเศรษฐกิจ  ขณะเดียวกันได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นน้อยมาก ส่วนหนึ่งเป็นเพราะต้นทุนสินค้าของ CPALL ถูกผลักให้เป็นภาระของผู้ผลิตและผู้ซื้อโดยตรง  CPALL ถูกวางสถานะให้เป็นแค่ผู้ให้บริการ เก็บค่าต๋งจากการขายสินค้า และยิ่งมีช่องทางในการขายสินค้ามากขึ้นเท่าไหร่ อำนาจในการต่อรองของ CPALL ก็จะมีมากขึ้นตามไปด้วย นี่ยังไม่รวมลูกเล่นทางธุรกิจที่เกิดจากการที่ CPALL เป็นหนึ่งในบริษัทลูกสังกัดกลุ่ม CP ซึ่งมีธุรกิจที่ครอบคลุมตั้งแต่ต้นน้ำถึงปลายน้ำ เอาเป็นว่าธุรกิจขาขึ้นแบบนี้จับตาดูราคาหุ้นของ CPALL เอาไว้ดีๆนะคะ แนวต้าน 70 บาท มีโอกาสจะกลายเป็นแนวรับในเร็วๆ นี้แล้วค่ะ


*** ราคาน้ำมันที่แพงขึ้น ส่งผลให้ราคาก๊าซธรรมชาติซึ่งเป็นต้นทุนของบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าพลังงานทางเลือกรายใหญ่ ไม่ว่าจะเป็น GULF GPSC EGCO และ BGRIM ต่างก็ได้รับผลกระทบที่คล้ายกัน แต่ถ้าหากลงในรายละเอียดแล้วดูเหมือนว่า BGRIM น่าจะเป็นบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้าที่ได้รับผลกระทบมากกว่าใคร มีสัดส่วนโรงงานผลิตไฟฟ้าที่ใช้ก๊าซธรรมชาติเป็นเชื้อเพลิงมากที่สุด ไม่ต้องมองไกล...เอาแค่ไตรมาส 3/64 ที่ผ่านมาพบว่า BGRIM มีกำไรสุทธิเพียง 447.47 ล้านบาท ลดลง 56%
 

BGRIM แตกต่างจากบริษัทผู้ผลิตไฟฟ้ารายใหญ่อื่น ๆ เพราะแทบจะไม่มีธุรกิจที่เป็นกระแสให้นักลงทุนพูดถึง เช่น กรณีของ GULF ก็ขยายฐานธุรกิจไปทั้งในส่วนของระบบโครงสร้างพื้นฐานทั้งงานก่อนสร้างและดิจิทัล ในส่วนของ GPSC ก็เข้าไปจับเรื่องโรงงานแบตเตอร์รี่สำหรับรถยนต์ไฟฟ้า หรือแม้แต่ EGCO ก็เข้าสู่การลงทุนยายนต์ไฟฟ้าเช่นกัน และสตาร์ทอัพธุรกิจการเงิน เข้าพัฒนาแพลตฟอร์มซื้อขายพลังงานในอนาคต 
 

ดังนั้นถ้าราคาหุ้นของ BGRIM จะเคลื่อนไหวอยู่แถวๆ นี้ หรืออาจจะร่วงลงไปต่ำกว่านี้บ้างก็อย่าคิดมากนะคะ มันก็เป็นอย่างที่เจ๊เมาธ์ว่ามานั้นหละเจ้าค่ะ 


หน้า 13 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,759 วันที่ 20 - 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2565