ราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกยังมีความผันผวน แต่เริ่มปรับตัวลดลงต่ำกว่า 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล หลังจากราคาขยับขึ้นไปสูงกว่า 120 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล เมื่อช่วง 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา
ล่าสุดราคาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส ปรับตัวลดลงมาอยู่ที่ 95 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล น้ำมันดิบเบรนท์ปรับตัวลดลงอยู่ที่ 98 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล และน้ำมันดิบดูไบ 102 ดอลลาร์สหรัฐต่อบาร์เรล มีปัจจัยจากตลาดตอบรับทิศทางการเจรจาระหว่างรัสเซียและยูเครนมีแนวโน้มดีขึ้น ที่รัฐมนตรีต่างประเทศรัสเซียออกมาระบุใกล้จะบรรลุข้อตกลงบางอย่างกับยูเครนได้แล้ว ขณะที่ โวโลดิมีร์ เซเลนสกี ประธานาธิบดีของยูเครน ยอมรับการเจรจาระหว่างทั้งสองประเทศดูมีความเป็นไปได้มากขึ้น
แม้เริ่มเห็นทิศทางราคาน้ำมันในตลาดโลกปรับตัวลดลง แต่ราคาขายปลีกน้ำมันสำเร็จรูปในบ้านเรา ยังอยู่ในระดับค่อนข้างสูง โดยเฉพาะราคาขายปลีกกลุ่มน้ำมันเบนซินและแก๊สโซฮอล์ ที่ยังไม่มีมาตรการออกมาดูแล ขณะที่ราคาน้ำมันดีเซล รัฐบาลเป็นห่วงถึงผลกระทบทางเศรษฐกิจ ยังตรึงอยู่ที่ไม่ให้เกิน 30 บาทต่อลิตร โดยการนำเงินจากกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปอุดหนุน 4 บาทต่อลิตร จากที่เคยสูงถึง 14 บาทต่อลิตร
ขณะที่วันที่ 1 เมษายน 2565 นี้ ผู้บริโภคทั้งหลาย อาจจะได้รับผลกระทบกับราคาอาหารที่ปรับตัวสูงขึ้นอีกได้ จากการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้มหรือแอลพีจีอีกกิโลกรัมละ 1 บาท หรือ 15 บาทต่อถัง 15 กิโลกรัม รัฐบาลอ้างถึงความจำเป็นที่ไม่สามารถแบกรับได้อีก โดยมีแผนที่จะทอยปรับราคาขึ้นไปแบบขั้นบันได ออกมาเป็นระยะๆ เพราะเวลานี้ต้องนำเงินกองทุนน้ำมันมาอุดหนุนถึง 18 บาทต่อกิโลกรัม โดยที่ผ่านมากองทุนน้ำมันฯแบกรับภาระในส่วนนี้ไปเกือบจะ 3 หมื่นล้านบาทแล้ว
เช่นเดียวกับค่าไฟฟ้า ที่คณะกรรมการกำกับกิจการ พลังาน (กกพ.) เตรียมจะประกาศออกมา ค่าไฟฟ้าผันแปรหรือค่าเอฟทีในรอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2565 จำเป็นต้องปรับเพิ่มขึ้นที่ 24.77 สตางค์ต่อหน่วย ส่งผลให้อัตราค่าไฟฟ้าเฉลี่ยเพิ่มขึ้น 23.38 สตางค์ต่อหน่วย เป็น 4.00 บาทต่อหน่วย จาก 3.76 บาทต่อหน่วย
ต่อเนื่องไปถึงรอบเดือนกันยายน-ธันวาคม 2565 จะปรับเพิ่มค่าไฟฟ้าผันแปร (ค่าเอฟที) เป็น 64.83 สตางค์ต่อหน่วย และรอบเดือนมกราคม-เมษายน 2566 จะปรับเป็น 110.82 สตางค์ต่อหน่วย
ภาคเอกชนมองว่า การปรับขึ้นราคาภาคพลังงานดังกล่าวจะกระทบต่อเศรษฐกิจ ส่งผลต่อราคาสินค้าปรับตัวเพิ่มขึ้นจากต้นทุนพลังงาน เพิ่มภาระค่าครองชีพให้ประชาชน และจะเป็นตัวเร่งอัตราเงินเฟ้อให้ขยายตัวเพิ่มขึ้น และจะส่งผลทำให้กิจกรรมทางเศรษฐกิจชะลอตัวหรือหยุดชะงักในที่สุด เรียกร้องให้รัฐบาลหามาตรการออกมาดูแล โดยเฉพาะการตรึงค่าไฟฟ้าในรอบเดือนพฤษภาคม-สิงหาคม 2565 นี้ ออกไปก่อน เพื่อลดค่าครองชีพให้ประชาชน และช่วยพยุงการแข่งขันทางด้านเศรษฐกิจของประเทศให้สามารถเดินหน้าต่อไปได้
ถึงเวลานี้คงต้องขึ้นอยู่กับรัฐบาล ว่าจะงัดมาตรการอะไรออกมาดูแล หากจะเดินแผนปรับราคาพลังงานขึ้นไปภาคประชาชนคงต้องควักเงินจ่ายกระเป๋าฉีกแน่ เพราะไม่เพียงแค่ต้องจ่ายให้กับภาคพลังงานที่สูงขึ้นแล้ว ยังจะต้องจับจ่ายในราคาสินค้า ค่าอาหาร ที่สูงขึ้นตามมาด้วย และหากยังปล่อยให้ค่าไฟฟ้าสูงถึง 4 บาทต่อหน่วย การแข่งขันหรือการดึงดูดนักลงทุนให้เข้ามาลงทุนในประเทศ อาจจะต้องสะดุดหรือไม่สามารถแข่งขันกับประเทศที่มีต้นทุนพลังงานต่ำกว่าได้