กระหึ่มไปทั่วโลก กรณีดาราฮอลลีวูดชื่อดัง "วิลล์ สมิธ" แสดงความไม่พอใจเมื่อดาราตลก พิธีกรในงานออสการ์กล่าวถึงภรรยาที่เป็นโรคผมร่วงเป็นหย่อม เนื่องจากโรคนี้อาจจะทำให้ผู้ป่วยรู้สึกอับอายหรือเป็นปมด้อย แต่อันที่จริงแล้วโรคนี้เป็นโรคที่รักษาได้ ไม่ควรเป็นโรคที่น่ารังเกียจต่อสังคมเพราะไม่ได้เป็นโรคติดต่อหรือโรคอันตรายแต่อย่างใด
ภาวะผมร่วงเป็นหย่อม (alopecia areata) เป็นโรคที่พบได้บ่อยในทุกช่วงอายุ ผู้ป่วยมีอาการผมร่วงเป็นหย่อมๆ ที่ศีรษะ โดยอาจจะมีขนร่วงที่บริเวณอื่นร่วมด้วย เช่น คิ้ว หนวด จอนหรือขนตามร่างกายในรายที่เป็นมาก อาจมีอาการผมร่วงทั่วศีรษะหรือขนตามร่างกายร่วงจนหมดตามมา
ผู้ป่วยมักมีอาการผมร่วงเป็นหย่อมๆ ในผู้ป่วยที่มีอาการมากอาจมีผมร่วงเป็นบริเวณกว้างทั้งศีรษะ ทำให้ผู้ป่วยเกิดความอับอาย ไม่กล้าเข้าสังคม ส่งผลต่อคุณภาพชีวิตของผู้ป่วย
โรคนี้พบได้ประมาณ 0.2% ของประชากรทั้งหมดพบทั้งเพศชายและเพศหญิง โรคผมร่วงเป็นหย่อมนี้เกิดขึ้นโดยไม่มีสาเหตุแน่ชัด แต่เชื่อว่าเกิดจากการที่ร่างกายสร้างภูมิคุ้มกันต้านตนเอง (autoimmune disease) ร่วมกับมีการเสียการควบคุมของระบบภูมิคุ้มกัน (immune privilege) และอาจมีปัจจัยทางกรรมพันธุ์เกี่ยวข้อง
โดยร่างกายอาจถูกกระตุ้นได้จากปัจจัยบางอย่าง เช่น ความเครียดทั้งจากภาวะการเจ็บป่วยทางร่างกายและจิตใจ ทำให้มีการสร้างเซลล์เม็ดเลือดขาวและสารสื่อประสาทที่บริเวณต่อมผม จึงทำให้การสร้างผมผิดปกติและวงจรชีวิตของผมเปลี่ยนจากระยะเจริญเติบโตเป็นระยะหลุดร่วงเร็วขึ้น
จากการศึกษาพบว่าโรคผมร่วงเป็นหย่อมมีความสัมพันธ์กับโรคภูมิแพ้, โรคอ้วนลงพุง, การติดเชื้อ Helicobacter pylori, โรคเอสแอลอี ฯลฯ
“พญ.ชินมนัส เลขวัต” ประชาสัมพันธ์ สมาคมแพทย์ผิวหนังแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การรักษาในผู้ป่วยที่มีอาการน้อย มีผมร่วงเป็นหย่อมเพียงเล็กน้อย อาการผมร่วงอาจหายได้เองหรือไปรับการรักษากับแพทย์เฉพาะทางด้วยการทายาสเตียรอยด์หรือฉีดยาสเตียรอยด์ที่ศีรษะร่วมกับการทายาไมน็อกซิดิล (Topical minoxidil) 2-5% วันละ 2 ครั้ง เพื่อกระตุ้นผมให้ขึ้นใหม่
ในผู้ป่วยที่มีอาการมาก มีผมร่วงทั่วศีรษะหรือมีขนตามร่างกายร่วงด้วย ควรจะพบแพทย์เพื่อพิจารณาการรักษาด้วยยาทาไดฟีนิลไซโคลโพรพีโนนหรือยาทาดีพีซีพีหรือยาอื่นตามที่แพทย์เฉพาะทางพิจารณา การตอบสนองต่อการรักษาขึ้นอยู่กับยาที่ใช้รักษา, ความรุนแรงของโรคและระยะเวลาที่เป็นโรค ซึ่งแตกต่างกันในผู้ป่วยแต่ละราย
โรคนี้ไม่ใช่โรคที่อันตรายร้ายแรงและมีหนทางในการรักษา เพื่อนหรือคนในครอบครัวควรให้กำลังใจแก่ผู้ป่วย บุคคลภายนอกควรเห็นใจและให้กำลังใจกันและกัน ทำให้สังคมน่าอยู่ขึ้น
หน้า 15 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,771 วันที่ 3 - 6 เมษายน พ.ศ. 2565