*** หุ้นพื้นฐานดีหลายปรับราคาร่วงลงอย่างรุนแรงจนนักลงทุนต้องกระโดดหนีตายเพราะการติดแคชฯ ไม่ว่าจะเป็น T1 T2 หรือ T3 ซึ่งตัวเจ๊เมาธ์ก็ยังไม่เข้าใจว่า แคชบาลานซ์ของตลาดฯ มีขึ้นมาเพื่อประโยชน์อะไรกันแน่ จะบอกว่าเพื่อป้องกันไม่ให้นักลงทุนเสียหายจากการเก็งกำไรหุ้นเกินกว่าปัจจัยพื้นฐานก็พูดได้ หรือจะมองในอีกมุมว่ากติกานี้คือ ต้นเหตุที่ทำให้ราคาหุ้นร่วงแรงก็ได้เช่นกัน
ประเด็นที่เจ๊เมาธ์ตั้งคำถามมาโดยตลอดก็คือ เรื่องของการใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลมาเป็นตัวตัดสิน และยิ่งเป็นการใช้วิจารณญาณส่วนบุคคลในเรื่องที่เกี่ยวพันกับผลประโยชน์ทางการเงิน โดยที่ไม่มีการชี้แจงก็นิ่งไปกันใหญ่ จะทำอะไรก็ให้เห็นใจนักลงทุนรายย่อยตัวเล็กๆ บ้าง เพราะแค่ต้องสู้กับความผันผวนของตลาดก็แย่อยู่แล้ว นี่ยังต้องมาเดาทางผู้ดูแลกติกาว่าจะทำอะไรตอนไหนอีกด้วย มันก็จะไม่ไหวแล้วเจ้าค่ะ
*** การมาของ SCBX ทำให้ชีพจรของนักลงทุนตื่นเต้น หลายคนมองว่า SCBX อาจจะต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองว่า สามารถหลุดพ้นออกมาจากการเป็นธนาคารอีกยาวพอสมควร เป็นเพราะนอกจากธุรกิจธนาคาร ซึ่งเป็นธุรกิจดั้งเดิมที่มีทั้งรายได้และกำไร ส่วนที่เหลือคือ ธุรกิจใหม่หลายอย่างที่จะเกิดขึ้นมาอยู่ในร่มของ SCBX ยังไม่สามารถพิสูจน์ตัวเองได้เลยว่าจะยืนได้เองในเวลาอันใกล้นี้หรือไม่ หรือจะกลายเป็นธุรกิจธนาคารอาจจะต้องแบกรับเอาทั้งความคาดหวังและค่าใช้จ่ายทั้งหมดของบริษัทในเครือของ SCBX เอาไว้ทั้งหมดก็เป็นได้
ขณะที่นักลุงทุนอีกกลุ่มมองเห็นเป็นโอกาส ประเมินว่า SCBX ที่เข้าซื้อขายในวันที่ 27 เม.ย. 2565 มีโอกาสพลิกกลับไปอยู่ในช่วง 110-120 บาทได้ โดยมีกระแสว่านักลงทุนสถาบัน หรือ ต่างประเทศที่ขายออกไปก่อนหน้านี้ เพราะกลัวเรื่องแปลงสภาพกำลังให้ความสนใจกลับเข้ามาซื้อใหม่ และอาจนำร่องทะยานไปถึงหุ้นละ 150 บาท
คราวนี้มาดูมุมมองโบรกเกอร์ เอเซียพลัส ระบุว่า SCBX ราคามีโอกาสพลิกกลับไปอยู่ในช่วง 110 - 120 บาท
หยวนต้า ประเมินว่า การเข้ามาเทรดของยานแม่ SCBX ราคาระยะต้น 110-120 บาท
เคทีบีเอสที ระบุว่าราคาพื้นฐานฝ่ายวิเคราะห์แนะนำซื้อ SCB โดยให้ราคาเป้าหมาย 150 บาท
เมย์แบงก์ ประเมินว่าถ้ายืนระดับ 120 บาทได้โอกาสทะยานไประดับ 140 บาท ย่อมไม่ไกล
*** นานแล้วที่ราคาหุ้นของ KEX ไม่ได้ถูกไล่ราคาติดต่อกันหลายวันแบบนี้ แต่ถ้าจะถามเจ๊เมาธ์ว่าราคาหุ้นของ KEX สามารถเข้าได้แล้วหรือไม่ ก็จำเป็นที่จะต้องพิจารณากันหลายเรื่อง อย่างแรกคือ รูปแบบการสร้างรายได้ด้วยการลดค่าบริการเพื่อให้ครองส่วนแบ่งทางการตลาดมากที่สุด แบบที่ทำอยู่ แม้จะทำให้มีรายได้ที่มากขึ้นแต่ผลกำไรที่ได้ก็ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
ขณะเดียวกัน KEX ปัญหาการลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลในเดือนพฤษภาคม จะทำให้ต้นทุนค่าในการขนส่ง ซึ่งเป็นหนึ่งในต้นทุนที่ KEX ไม่สามารถควบคุมได้ปรับสูงขึ้นไปอีกราวๆ 20% ดังนั้น ตอบคำถามที่ว่าราคาหุ้นของ KEX เข้าได้หรือไม่ คำตอบก็คือคงจะต้องรอต่อไปนั่นเองค่ะ
*** การลอยตัวราคาดีเซลจะส่งผลดีโดยตรงกับหุ้นปั๊มน้ำมันอย่าง PTG และ OR โดยเฉพาะในส่วนของ PTG ซึ่งยังมีรายได้ที่ผูกอยู่กับสัดส่วนรายได้จากการขายน้ำมันเชื้อเพลิงสูงกว่าทาง OR ทำให้การลอยตัวราคาน้ำมันดีเซลจะส่งผลบวกที่เห็นได้ชัดกับ PTG ได้มากกว่า
ขณะเดียวกันการที่ประเทศอินโดนีเซียซึ่งเป็นผู้ผลิตและส่งออกน้ำมันปาล์มรายใหญ่ที่สุดของโลก โดยมีปริมาณคิดเป็นสัดส่วนมากกว่าครึ่งหนึ่งของโลกประกาศระงับการส่งออกน้ำมันปาล์มตั้งแต่วันที่ 22 เมษายน ที่ผ่านมาจะทำให้ PTG ซึ่งถือหุ้นในโครงการปาล์มคอมเพล็กซ์จำนวน 40% จะได้อานิสงส์นี้ตามไปด้วยในอีกหนึ่งช่องทาง ดังนั้นถ้าหากจะบอกว่าตอนนี้ PTG กำลังจะข้ามผ่านจุดต่ำสุดไปได้ก็น่าจะพูดได้ไม่ผิดเท่าไหร่นัก
*** สำหรับ CBG ดูเหมือนว่าระดับราคา 100 บาท จะเป็นแนวรับและ 110 บาท จะเป็นแนวต้านที่ยากจะตีฝ่าที่สุดในช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา แต่หากมองไปที่แนวโน้นราคาหุ้นของ CBG ผ่านมุมมองทางเทคนิคกลับมองเห็นได้ว่าในรอบนี้ดูเหมือนว่าระดับราคา 110 บาทของ CBG อาจกำลังจะถูกทำลายได้ในไม่ช้า
อย่างแรก คือ แรงซื้อที่เริ่มหนาแน่นขึ้นจากทางฝั่งซื้อจนทำให้ราคาหุ้นสามารถยืนเหนือค่าเฉลี่ย 45 และ 100 วันไปได้แล้ว ก็ยังมีค่า MACD ที่เริ่มยกขึ้นตามมาด้วย อย่างไรก็ตามถ้าจะพิสูจน์ว่าราคาหุ้นของ CBG จะสามารถไปต่อได้หรือไม่ก็อาจจะต้องรอให้ยืนราคาเหนือแนวต้านที่ 110 บาทให้ได้จริงๆ ซะก่อนเพื่อเป็นการยืนยัน ซึ่งดูแล้วก็ไม่น่าจะยากเกินไปเจ้าค่ะ
หน้า 16 หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ปีที่ 42 ฉบับที่ 3,778 วันที่ 28 - 30 เมษายน พ.ศ. 2565