ไดโนเสาร์การเมืองควรหมดยุคได้แล้ว

23 พ.ค. 2566 | 04:10 น.
อัปเดตล่าสุด :23 พ.ค. 2566 | 05:51 น.

คอลัมน์ บ้านเมืองของเรา บทความพิเศษ ไดโนเสาร์การเมืองควรหมดยุคได้แล้ว โดย สมหมาย ภาษี

ก่อนที่จะมีการเลือกตั้งทั่วไปทั้งประเทศในวันที่ 14 พฤษภาคม 2566 เชื่อว่าหลังจากได้เห็นการรณรงค์หาเสียงของพรรคใหญ่และกลางตั้งแต่ออกไปหาผู้มาลงเลือกตั้งของพรรคตน มีแต่ข่าวการซื้อตัวกันด้วยเงินก้อนโตมากๆ จนถึงการรณรงค์หาเสียงด้วยการหว่านกล้วยให้ผู้คนไปฟังคนระดับหัวหน้าพรรคที่ออกไปหาเสียงตามต่างจังหวัด เป็นต้น

พฤติกรรมของการหาเสียงเลือกตั้งของพรรคการเมืองดูยิ่งน่าอดสูมากกว่าในอดีตที่ผ่านมาเสียอีก เห็นอย่างนี้แล้วเชื่อว่าคนไทยผู้รักชาติ คนไทยที่อยากเห็นการเมืองสมัยใหม่ คนไทยที่คาดหวังว่าการเมืองบ้านเรา จะสามารถนำพาประชาชนและประเทศชาติเดินหน้าแข่งกับต่างประเทศได้อย่างสง่างาม ต่างก็ต้องถอนหายใจเกิดความรู้สึกท้อแท้ และเกิดอาการเวทนากับการเมืองของประเทศของตนเองยิ่งขึ้นกว่าเดิม

เมื่อผลการเลือกตั้งออกมา ซึ่งก็ทราบดีว่า กกต. ผู้กำกับดูแลได้พยายามอย่างเต็มที่ ที่จะให้การเลือกตั้งครั้งนี้ออกมาดี และผู้มาใช้สิทธิ์สามารถมองเห็นความโปร่งใสได้ชัดมากกว่าเดิม แม้จะมีการวิจารณ์ในทางที่น่าสงสัยกันบ้าง แต่ผลที่ออกมาแทบไม่มีข้อตำหนิและด่างพร้อย

ยิ่งกว่านั้น เมื่อผลการเลือกตั้งออกมาว่า ประชาชนผู้มีสิทธิ์ออกเสียงที่มีจำนวน 39.29 ล้านคน ได้ออกมาใช้สิทธิ์ถึง 75.20 % ก็เป็นที่น่ายินดีที่เห็นคนไทยตื่นตัวในการเลือกตั้งครั้งนี้อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

ลึกลงไปกว่านั้น เมื่อมีข่าวการวิเคราะห์เปิดเผยออกมาว่านักการเมืองเก่าที่มีทั้งเงินและชื่อเสียง ที่เรียกขานกันว่าบ้านใหญ่ในเขตต่างๆ ทั่วประเทศ ล้วนสอบตกยกแผงกันเต็มไปหมด พรรคขนาดกลางและพรรคเล็กแทบจะไม่เห็นพรรคไหนสามารถรักษาจำนวนและตัวตนของสมาชิกผู้สมัครรับเลือกตั้งในพรรคไว้ได้ ที่ร้ายหนักพรรคฝ่ายรัฐบาลต่างตกเหวมีบาดแผลเหวอะหวะไปหมด ส่วนพรรคที่ใช้ทุนทรัพย์น้อยที่ประสบความสำเร็จเกินเป้า จนเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลในขณะนี้กลับกลายเป็นพรรคใหม่ที่ชื่อก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคที่ผู้สมัครรับเลือกตั้งอ่อนพรรษาที่สุด และอายุเฉลี่ยน้อยสุดในบรรดาพรรคใหญ่ทั้งหลาย

นี่กำลังเกิดอะไรขึ้นในประเทศไทย ประเทศที่ประชาชนในชาติแทบจะหมดความเชื่อถือศรัทธาในการเมืองของประเทศอยู่แล้ว กลับพลิกผันได้ขนาดนี้ นึกถึงตัวช่วยไม่ออก นอกจากพระสยามเทวาธิราชเท่านั้น

ผ่านยุค คสช. มาแล้ว 9 ปี ประเทศชาติจมปลักลงไปแค่ไหน นับตั้งแต่วันที่ 22 พฤษภาคม 2557 ซึ่งเป็นวันที่มีการปฏิวัติโดยทหาร ที่โผล่ขึ้นมาตามการเรียกร้องของกบเลือกนาย ซึ่งตอนแรกดูเหมือนจะเป็นพระเอกขี่ม้าขาว ตีฆ้องลั่นกลองรบเหมือนการออกตัวก่อนเลือกตั้งของพรรคที่ไม่ชอบเผด็จการมากพรรคหนึ่งแต่ ณ วันนี้พี่น้องทั้งหลายได้เห็นอะไรเกิดขึ้นข้าง ของเลวหรือโรคร้ายของประเทศที่มีอยู่แล้ว เช่น การคอร์รัปชันยิ่งมีดาษดื่นขึ้นไปอีก ลุกลามไปถึงบางสถาบันที่ไม่ควรจะมี เสพติดซื้อง่ายขายคล่องกว่าแต่ก่อนธรรมาภิบาลในภาครัฐมีอยู่ริบหรี่เต็มที และอีกมากมายหลายเรื่องที่เห็นๆ กันอยู่ว่าเสื่อมโทรมลง ความเป็นไทยที่รักสงบของเราลดน้อยลงไปเรื่อยตามกาลเวลา 9 ปีที่ผ่านไป

การเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสจากผลการเลือกตั้ง 14 พฤษภาคม 2566 ผลการเลือกตั้งที่ช็อกคนทุกวงการทั้งประเทศ โดยเฉพาะนักการเมืองรุ่นเก่าๆ ที่ยึดโยงพื้นที่เข้าสู่การเมืองซ้ำแล้วซ้ำเล่า รวมถึงนักการเมืองบ้านใหญ่ทั้งหลาย และนักการเมืองที่มุ่งแต่หาเงินของหลายพรรค คราวนี้คนรุ่นใหม่คงคิดได้และเห็นว่าพอกันทีเถอะลุง เพราะเส้นทางเดินของประเทศชาติได้ถูกปรับเปลี่ยนแล้ว ณ บัดนี้

อย่างไรก็ตาม หนทางของพรรคก้าวไกลในการจัดตั้งรัฐบาลใช่ว่าจะโรยด้วยดอกกุหลาบ เพราะผู้ที่เสวยสุขกับการรับใช้นักรัฐประหารมายาวนานยังมีอยู่ในสถานที่อันทรงเกียรติ ก็เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะต้องแสดงอารมณ์แบบผู้หลงอยู่ในอำนาจมานานตามที่เราได้เห็น แต่ก็ยังพอมีผู้ที่มีอำนาจจากการแต่งตั้งเหล่านั้น มีความคิดความอ่านอยากเห็นการก้าวเดินของการเมืองไทยตามที่เขาปฏิบัติกันในอารยประเทศ และเป็นผู้ที่รู้จักและเข้าใจในคุณค่าของเสียงของประชาชนในระบบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง หวังว่าเขาเหล่านั้นคงไม่อยากทำตัวเป็นไดโนเสาร์ชุดสุดท้ายให้เยาวชนไทยได้เห็นเป็นแน่

หากคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ จากพรรคก้าวไกล ว่าที่นายกรัฐมนตรีคนใหม่ของประเทศไทยที่พรรคได้คะแนนเสียงถึง 14 ล้านคน จากผู้ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งครั้งนี้ที่สูงถึง 75.20 % สามารถผ่านกระบวนการที่อำนาจเผด็จการได้สร้างไว้ได้ ผมก็เชื่อว่าความคิดความอ่านที่ดี บวกกับความรู้ความสามารถของหัวหน้าพรรคก้าวไกลที่มากพอตัว ก็น่าจะพร้อมในการเป็นผู้นำประเทศที่จะทำให้คนไทยตื่นตัวมีชีวิตชีวาไม่ห่อเหี่ยวเหมือนที่ผ่านมาได้ไม่ว่าในเรื่องทั้งภายในประเทศและต่างประเทศ

ในส่วนของตัวพรรคก้าวไกลที่สำคัญพอๆกับผู้นำพรรค ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีว่าเป็นพรรคที่ไม่ใช้เงินซื้อเสียง ไม่เหมือนพรรคการเมืองอื่นที่รู้เห็นกันอยู่ เห็นได้ชัดว่ากระแสการต้อนรับของประชาชนหนาแน่นทั้งก่อนและหลังเลือกตั้ง ผมเชื่อว่า พรรคที่ได้คะแนนที่บริสุทธิ์มาเท่านั้นที่จะมีหัวจิตหัวใจเข้าไปแก้ไขปัญหารากเหง้าของประเทศได้ ไม่ว่าจะเป็นการแก้คอร์รัปชัน หรือแก้ความเหลื่อมล้ำของผู้คน การปฏิรูปตำรวจ ทหารข้าราชการ ที่เป็นตัวจักรกลในการบริหารประเทศ และรวมถึงปัญหาแรงงาน

การแก้คอร์รัปชันนั้นเป็นเรื่องที่พูดมาทุกรัฐบาล ชุดก่อนที่ผู้นำอยู่มากว่า 8 ปี ก็ระบุในนโยบายชัดว่าจะแก้แต่ยิ่งอยู่นานกลับปล่อยให้คอร์รัปชันบานสะพรั่ง ส่วนรัฐบาลที่จะนำโดยพรรคก้าวไกลนี้ ได้แถลงใน MOU ชัดว่าเจ้ากระทรวงไหนคอร์รัปชันขอให้ออกไป คือจะตัดคอไม่ให้หัวได้ส่ายเหมือนรัฐบาลที่ผ่านมา นับว่าเป็นนโยบายที่ดีและเด็ดขาดมาก ขออย่างเดียวอย่าให้ลูบหน้าปะจมูกหรือเกรงใจตามธรรมเนียมไทยก็แล้วกัน

จากการติดตามข่าวได้เห็นการแสดงความคิดของว่าที่นายกรัฐมนตรีหลายเรื่อง ล้วนแต่จะนำไปสู่การบริหารประเทศให้ดีได้ทั้งนั้น ผู้นำที่ไม่กร่างแต่มีความมั่นใจสูง มีความคิดที่สามารถรู้ว่าสิ่งใดต้องทำก่อนทำหลังเป็นผู้ที่เข้าใจดีว่าการเมืองมีมิติมาก และรู้ว่าการคิดและการกระทำเรื่องต่างๆต้องให้เข้าหาจุดสมดุล ซึ่งสิ่งเหล่านี้ของผู้นำจะทำให้สามารถยกระดับชีวิตความเป็นอยู่ของประชาชนให้สูงขึ้นได้มาก

จากผลการเลือกตั้งที่มีพรรคก้าวไกลเป็นผู้นำ และตามติดๆด้วยพรรคเพื่อไทยที่เคยมีประสบการณ์การบริหารประเทศล้มลุกคลุกคลานมาแล้วเข้ามาร่วมทีมเพื่อเปลี่ยนประเทศในครั้งนี้ ถือได้ว่าเป็นโอกาสที่หาได้ยากยิ่ง แม้จะมีข้อวิจารณ์แสดงความคิดเห็นต่างๆนานาของฝ่ายอนุรักษ์นิยม ซึ่งเป็นเรื่องปกติของสื่อสังคมไทยในปัจจุบันที่อยู่บนพื้นฐานของความแตกแยก แต่คนไทยที่เข้าใจสถานการณ์ของประเทศตนเองเป็นอย่างดีคงจะปรับตัวเพื่อรับการเปลี่ยนวิกฤตเป็นโอกาสตามความต้องการของผู้ลงคะแนนเลือกตั้งส่วนใหญ่ของประเทศได้ในที่สุด