*** ฝืดๆๆ เศรษฐกิจไทยยามนี้ ดูจากยอดขายรถยนต์ในประเทศ ในเดือน ต.ค.ที่ผ่านมาตกตํ่าที่สุดในรอบ 4 ปีกันเลยทีเดียว ทำได้เพียง 3.7 หมื่นคันเท่านั้น ทำให้สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) ต้องปรับเป้าหมายกันให้วุ่น โดยเป้าผลิตรถยนต์ปีนี้เดิมตั้งไว้ 1,700,000 คัน เหลือ 1,500,000 คัน ผลิตขายในประเทศลดจาก 550,000 คัน เป็น 450,000 คัน ผลิตเพื่อส่งออกลดจาก 1,150,000 คัน เป็น 1,050,000 คัน
เฉพาะ ต.ค. เดือนเดียว มีผลิต118,842 คัน ลดลง 25.13% ขณะที่ยอดผลิตรถยนต์ตั้งแต่เดือน ม.ค.-ต.ค. มี 1,246,868 คัน ลดลง 19.28% ยอดขายรถยนต์ที่ลดลงมากจากความเข้มงวดสินเชื่อ เพราะหนี้เสียสูง งานมอร์เตอร์เอ็กซ์โปที่กำลังมาแม้กระตุ้นให้คึกคักได้บ้าง แต่ยังไปยากอยู่ดี
*** เศรษฐกิจแย่ๆ ทางหอการค้าและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย ได้จัดประชุมใหญ่หอการค้าทั่วประเทศสัปดาห์ก่อน เสนอเป็นสมุดปกขาวยื่นให้นายกรัฐมนตรี มีข้อเสนอเพื่อการฟื้นฟูเศรษฐกิจระยะเร่งด่วน 3 ข้อ 1.การสร้างความเชื่อมั่นทั้งในและต่างประเทศ ลดภาระค่าครองชีพประชาชนและต้นทุนของผู้ประกอบการ คุมราคาสินค้าพื้นฐานและบริการที่จำเป็น ตรึงค่าไฟฟ้า-นํ้ามันดีเซล ตั้ง กรอ.พลังงาน ปรับค่าแรงขั้นตํ่าตามไตรภาคี กระจายงบประมาณไปภูมิภาค กระตุ้นเศรษฐกิจคูณสอง เพิ่มกำลังซื้อ
*** ถัดมาข้อ 2.การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขัน SMEs แก้ไขปัญหาหนี้ ที่ประชาชนและ SMEs กำลังเผชิญ หัวใจสำคัญแก้หนี้คือ รัฐบาลจำเป็นต้องใช้นโยบายการเงินการคลังควบคู่กัน พร้อมกับการกระจายรายได้เพื่อลดความเหลื่อมลํ้า พักและยืดหนี้ ทั้งบ้าน รถ และ SMEs ไม่ยึดรถกระบะที่เป็นเครื่องมือทำมาหากินของประชาชน ลดดอกเบี้ย ปลดล็อกการเข้าถึงสินเชื่อ ดูแลการค้าให้เป็นธรรม ไม่เป็นตลาดที่ดัมพ์สินค้าไร้คุณภาพ ถัดมาข้อ
3.การวางยุทธศาสตร์ประเทศเพื่อการเติบโตในอนาคตอย่างยั่งยืน เร่งดึงดูดการลงทุนทั้งในและต่างประเทศ ผนวกปราจีนบุรีเข้าไปในพื้นที่ EEC ช่วยเพิ่มมูลค่าการลงทุนใน EEC มหาศาล รักษาโมเมนตั้มภาคธุรกิจ Food, Tourism, Wellness ที่ยังแข่งได้ ดูดอุตสาหกรรมใหม่ New S-Curve เจรจาเพื่อนบ้านยกระดับจุดผ่านแดน การบริหารจัดการนํ้า ปรับปรุงนโยบายด้านแรงงาน ก็เป็นเสียงจากภาคเอกชนโดยตรง ที่ผู้รับผิดชอบฝ่ายนโยบายต้องพึงรับฟังและปฏิบัติปรับใช้
*** นี่ก็ต้องฟัง ก็จะเห็น ก็จะรู้ สมาคมผู้ค้าปลีก บอกภาพรวมค้าปลีกปี 2567 ไม่สดใสเท่าที่ควร มาจากหลากหลายปัจจัย การเติบโตทางเศรษฐกิจไม่เป็นตามที่คาดการณ์ การหดตัวด้านการลงทุน ที่ส่งผลต่ออัตราการจ้างงาน และการบริโภค, หนี้ครัวเรือนสูง และภาระหนี้สินของเอสเอ็มอี มาตรการแจกเงิน 1 หมื่นบาท ให้กลุ่มเปราะบาง 14.5 ล้านคน ยังไม่สามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ชัด นํ้าท่วมใหญ่ภาคเหนือ และความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลกที่มาจาก ประธานาธิบดี โดนัล ทรัมป์ส่งผลความเชื่อมั่นการใช้จ่ายของประชาชน แต่คาดว่าปีหน้าค้าปลีกโตได้ 3-5% จีดีพีที่คาดว่าจะเติบโต 2.3-3.3%
*** สภาพัฒน์แถลงหนี้ครัวเรือนไตรมาสสอง ปี 2567 มูลค่ารวม 16.32 ล้านล้านบาท ขยายตัว 1.3% จาก 2.3% ของไตรมาสก่อนหน้า ทำให้สัดส่วนหนี้ครัวเรือนต่อ GDP ปรับลดลงจาก 90.7% ของไตรมาสก่อน มาอยู่ที่ 89.6% ถือว่าตํ่ากว่า 90 % ครั้งแรกตั้งแต่โควิด แต่ต้องดูให้จบแม้ตํ่ากว่า 90 % ก็จริง แต่ยังสูงเมื่อเทียบกับประเทศในเอเชีย ตัวเลขหนี้ลดลงแต่หากไปดูความสามารถในการใช้คืนหนี้ ก็ลดลงเช่นกัน
โดยไตรมาสสอง หนี้ NPLs กว่า 1.16 ล้านล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วนต่อสินเชื่อรวมอยู่ที่ 8.48% เพิ่มขึ้นจาก 8.01% ของไตรมาสที่ผ่านมา NPLs ที่เกิดขึ้นของครัวเรือนส่วนใหญ่ กว่า 71% อยู่ที่ธนาคารพาณิชย์ และสถาบันการเงินเฉพาะกิจของรัฐ (SFIs) และหนี้ NPLs เพิ่มขึ้น 12.2% มาจากสินเชื่อรถยนต์ และสินเชื่อบ้าน ที่กำลังไล่ยึดกันอยู่ในขณะนี้ และที่ต้องดูให้ใกล้ชิด เป็นหนี้หมวดอุปโภค บริโภค มีผิดนัดเพิ่มหรือไม่ และหากในระบบติดขัด หันไปพึ่งนอกระบบมากขึ้นคราวนี้ดูไม่จืดกันเลยทีเดียว
***ปิดท้ายกันที่...ชุมนุมนักเรียนเก่ามหาวชิราวุธ ขอเชิญร่วมทําบุญ อุทิศส่วนกุศล แด่ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ อดีตประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ พร้อมคุณครู และนักเรียนเก่ามหาวชิราวุธ ที่ล่วงลับไปแล้วทุกท่าน วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2567 ณ วัดบวรนิเวศวิหาร ราชวรวิหาร กรุงเทพมหานคร เวลา 10.00-12.00 น. ประธานจัดงาน นายศุภวัฒน์ ไตรวนาธรรม (รุ่นลูกวชิระ82)
*** อีกงาน วันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2567 เวลา 17.00-22.00 น. นายศุภวัฒน์ ไตรวนาธรรม (รุ่นลูกวชิระ 82) ประธานจัดงาน ขอเชิญร่วมกิจกรรมครั้งที่ 42 ชุมนุมนักเรียนเก่ามหาวชิราวุธ MAHAVAJI RAVUDH SONGKHLA SCHOOL Party งานเลี้ยงสังสรรค์ ณ หอประชุม กองทัพเรือ เขตบางกอกใหญ่