คุณผู้หญิงสูงวัยส่วนใหญ่ ที่เคยทำงานออฟฟิศหรือทำงานบ้านอยู่เป็นประจำ ในสมัยที่ร่างกายยังกำยำแข็งแรง ก็ทำงานทำการเพื่อหาเลี้ยงชีพของตนเองไป แต่พออายุมากขึ้น เข้าสู่วัยเกษียณอายุ ก็อาจจะชอบหางานอดิเรกทำกันเสียเป็นส่วนใหญ่ บางท่านพอรู้ตัวอีกที ก็มีอาการนิ้วเริ่มชา นานวันเข้าก็เริ่มปวดนิ้ว ซึ่งก็อาจจะไม่ค่อยมีใครคอยสังเกต หรือเอะใจว่าเกิดอะไรขึ้นกับตัวเอง มารู้ตัวอีกที ก็เกิดอาการโรคนิ้วล็อคเสียแล้ว ซึ่งก็ต้องวิ่งหาแพทย์เพื่อแก้ไขอาการเป็นการด่วน เพราะหากไม่ทำการรักษา นานวันเข้าก็จำเป็นต้องได้รับการผ่าตัดกันไปเลยก็มีครับ
อาการโรคนิ้วล็อคอย่างที่ว่า ส่วนใหญ่มักจะเกิดจากผู้สูงวัยเพศหญิงมากกว่าเพศชาย ที่เป็นเช่นนี้ เพราะเพศหญิงจะใช้นิ้วมือมากกว่าเพศชายก็เป็นไปได้ครับ ที่พูดเช่นนี้ไม่ใช่ว่าเป็นเพราะใช้ชี้นิ้วให้สามีทำงานนะครับ แต่เป็นเพราะงานฝีมือส่วนใหญ่ จะเป็นที่ชื่นชอบของเพศหญิงเสียมากกว่าเพศชายครับ ภรรยาผมเองก็เป็นโรคนิ้วล็อคเหมือนกัน เป็นเพราะเธอเป็นคนที่ชอบงานฝีมือมากๆ เรียกว่าหลงใหลเลยก็ว่าได้ ในช่วงเวลาที่ลูกๆโตพอเข้าเรียนแล้ว พอส่งลูกๆไปโรงเรียนเสร็จ ทุกวันเธอจะนั่งอยู่หน้าโต๊ะที่บ้าน ทำงานฝีมือที่เธอชอบ ไม่ว่าจะเป็นงานปั้นดอกไม้เล็กๆ ประมาณสูงไม่เกิน 5 ซ.ม. ทำอยู่หลายปี เมื่อเริ่มเบื่อก็หันมาทำตุ๊กตาผ้า ตุ๊กตาเปลือกข้าวโพด ทำได้สวยงามเสมือนมืออาชีพเลยครับ ไม่ได้แกล้งชมนะครับ เพราะผมมักจะขอเธอเอาไปฝากเพื่อนๆชาวต่างชาติทุกครั้งที่เดินทางไปเยี่ยมเยือนลูกค้าเสมอ
หลังจากที่ภรรยาผมเริ่มเบื่อการทำตุ๊กตาชนิดต่างๆ เธอก็หันมาเย็บผ้า ที่ใช้เศษผ้ามาต่อเป็นงานแพทเวิร์ค ทำเป็นผ้าคลุมเตียงบ้าง ผ้าห่มบ้าง แรกๆก็ใช้วิธีการเย็บเองสอยผ้าเองทั้งหมด ต่อมาพอได้ไปเดินชมงานที่เขามาจัดงานแสดงสินค้าที่เมืองทองธานี ก็ไปเจออาจารย์ที่ทำงานนี้ขายอยู่ในงาน ตอนแรกผมก็ดีใจ คิดว่าพอเธอเห็นราคาขายแล้วคงจะเลิกทำเสียที แต่ที่ไหนได้ พอได้คุยกับอาจารย์ท่านนั้น ทำให้เธอยิ่งทำมากขึ้น เพราะไม่ต้องทำเองทั้งหมด คือทำแค่ Semi- Product นั่นคือทำแค่ขั้นต้น พอทำเสร็จส่งให้อาจารย์ต่อร่างให้เป็น Finish Product ต่อไปจนเสร็จ ไม่ต้องเสียเวลาและเหนื่อย เธอยิ่งชอบเลยทำมากขึ้นไปอีก ทำจนกระทั้งที่บ้านไม่ต้องซื้อหาผ้าคลุมเตียงมาใช้ ก็เหลือเฟือแล้วจึงเลิก หันกลับมาทำกระเป๋าถือผ้าแทน ก็เรียกว่าไม่ต้องง้อสินค้าแบรนด์เนมเลยครับ เธอทำเองใช้เอง แถมมีแบ่งให้เพื่อนฝูงและลูกค้าผมอีกครับ
อีกงานหนึ่งที่เธอโปรดปรานมากๆ คืองานเอาเศษเครื่องประดับที่เป็นจำพวกของกระจุกกระจิกที่ผู้หญิงชอบใช้ มาสร้างเป็นแผ่นภาพใส่กรอบรูป สวยงามมากๆ แต่งานนี้ทำได้ไม่นาน ก็เปลี่ยนมาวาดรูปใส่กรอบรูป พอทำไปอีกระยะหนึ่ง กระทั่งโรงแรมของผมเต็มไปด้วยงานฝีมือของภรรยาผม เธอก็เริ่มรู้ตัวว่านิ้วของเธอเริ่มมีอาการเจ็บๆขึ้นมา เธอก็พยายามใช้วิธีการนวดรักษาก่อน ก็ยังไม่หาย ก็หันมาใช้วิธีประคบด้วยน้ำอุ่น ก็ไม่หายอีก จึงได้ไปพบแพทย์ แพทย์ท่านนี้เก่งมาก เพราะปกติแพทย์มักจะใช้วิธีผ่าตัดผู้ป่วยเสมอ แต่ท่านกลับใช้วิธีการดึงเส้นที่เป็นเส้นเอ็นที่หลังฝ่ามือ ปรากฏว่ารักษาได้ไม่นานก็หายแล้วครับ
โรคนิ้วล็อคนี้ ปัจจุบันเป็นกันมากในกลุ่มของคนที่เคยทำงานออฟฟิศ ที่ใช้นิ้วมือเป็นประจำ ไม่ว่าเป็นการใช้เครื่องพิมพ์ดีด ใช้พิมพ์คีย์บอร์ด ใช้สมาร์ทโฟน การใช้เมาส์คอมพิวเตอร์ หรือแม้แต่เล่นเกม เป็นต้น สาเหตุหลักของการเป็นโรคนิ้วล็อคนี้ มาจากการอักเสบของเยื้อหุ้มเส้นเอ็น บริเวณข้องอของนิ้วมือ ทำให้การขยับเขยื้อนของนิ้วมือไม่สามารถทำได้ดังใจสั่งมา พอขยับนิ้วไม่ได้ งอนิ้วก็จะเกิดอาการเจ็บแปลบๆ ไม่ต้องแปลกใจครับ นั่นแสดงว่าเรียบร้อยโรงพยาบาลแล้วครับ ไม่ต้องสงสัยว่าจะไปพบแพทย์ได้เลยหรือยัง เพราะถ้าปล่อยไว้ยิ่งนาน ก็จะยิ่งระบมอักเสบมากยิ่งขึ้น แสนจะทรมานอย่าบอกใครเชียวละ ถ้ายังสงสัยอีกว่าจะเป็นโรคนิ้วล็อคหรือไม่ ก็ให้สังเกตดังต่อไปนี้ก็ได้ครับ
อาการเริ่มแรกของโรคนิ้วล็อค จะเริ่มมีอาการปวดบริเวณโคนนิ้ว ท่านทดลองใช้นิ้วกดที่โคนนิ้วด้านหน้าก็ได้ ถ้าปวดมากขึ้นนั่นแสดงว่าเริ่มแล้วละครับ ในระยะต่อมา เวลาที่ท่านเหยียดนิ้วหรืองอนิ้วมือ จะมีอาการสะดุดกึกๆกักๆ นั่นก็เริ่มเด่นชัดมากขึ้น ในระยะต่อมา ถ้าหากว่าท่านงอนิ้วแล้วเหยียดนิ้วไม่ออก ต้องใช้มืออีกข้างช่วยเมื่อไหร่ นั่นแหละชัวร์เลย เป็นโรคนิ้วล็อคแน่นอนแล้วครับ ไม่ต้องรอให้ถึงกับปวดบวมมากๆ หรือขยับไม่ออกเลยแล้วค่อยไปพบแพทย์นะครับ เชื่อขนมกินได้เลยว่าเป็นโรคนิ้วล็อคแน่นอนครับ
อาการโรคนิ้วล็อคทั่วไป ถ้าหากยังไม่รุนแรงมาก คุณหมอท่านก็จะจ่ายยามาให้ทาน เพื่อดูอาการก่อน หรืออาการของบางท่านที่มีอาการชัดขึ้น คุณหมอก็จะทำการบำบัดให้ด้วยวิธีการให้กลับบ้านมานวดเอง หรือให้ประคบน้ำอุ่นเอาเอง หรืออาจจะถึงขั้นต้องฉีดยาสเตียรอยด์เฉพาะที่ ถ้าหากอาการเข้าขั้นมาก ก็อาจจะต้องถึงขั้นผ่าตัด เพื่อผ่าตัดปลอกหุ้มเส้นเอ็นที่หนาๆอยู่ ให้เปิดกว้างมากขึ้น เพื่อให้การขยับของนิ้วที่ถูกล็อคผ่อนคลายลงไปนั่นเอง เมื่อเป็นเช่นนี้ใครก็ตามที่มีลูกหลานที่ตอนเด็กๆ ชอบหักนิ้วมือตัวเอง ให้มีเสียงดังก๊อบแก๊บแล้วสะใจ คงต้องบอกลูกหลานให้หยุดทำได้แล้ว เพราะถ้าแก่ตัวมาจะได้ไม่ต้องเป็นเหมือนยายนะจ๊ะ!!!!