วันเวลาของผู้สูงวัยอย่างผม มีความรู้สึกว่าช่างผ่านไปรวดเร็วเสียเหลือเกิน เผลอๆ ก็ผ่านไปอีกหนึ่งปี ทั้งๆ ที่โลกนี้ก็หมุนเร็วเท่าๆ กันมาชั่วนาตาปี แต่ในช่วงวัยเด็ก เราก็รู้สึกว่ากว่าจะถึงปีใหม่ หรือกว่าจะเข้าตรุษจีน มันช่างเชื่องช้ามากจนรอไม่ไหว แต่พออายุมากขึ้น ก็ทำให้รู้สึกว่าทำไมวันเวลาช่างผ่านไปรวดเร็วปานนั้น
และนี่ก็เป็นบทความสุดท้ายของคอลัมน์นี้ในปีพ.ศ. 2566 แล้ว เรากำลังเข้าสู่ปีพ.ศ. 2567 ในอีกสอง-สามวันข้างหน้าแล้ว ผมจึงใคร่ขออนุญาตใช้หน้ากระดาษนี้ ขออวยพรแด่เพื่อนๆพี่ๆ ทุกๆ ท่าน ขอคุณพระศรีรัตนตรัยและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในสากลโลกนี้ จงได้โปรดดลบันดาลให้ทุกๆ ท่านที่ติดตามอ่านบทความนี้ จงประสบแต่ความสุขและมีสุขภาพที่แข็งแรง ตลอดกาลนานเทอญ!!!
เมื่อวันที่ 26-28 ธันวาคมที่ผ่านมา ผมได้เดินทางไปเมืองกวางเจาประเทศสาธารณรัฐประชาชนจีน ซึ่งก็กำลังย่างก้าวเข้าสู่ฤดูหนาวอย่างเต็มตัว เพราะในที่ 22 ธันวาคมของปีนี้ เป็นวันตงจื่อ (冬至) อันหมายถึงกาลเวลาที่ย่างเข้าสู่ฤดูหนาว ปกติทุกปีชาวจีนจะมีประเพณีการทานขนมบัวลอย หรือที่เรียกว่า “ขนมอี๋” เพื่อเตือนใจคนให้รู้ว่า แก่ลงไปอีกหนึ่งปีแล้วนะ อากาศก็จะเริ่มเปลี่ยนจากฤดูใบไม้ร่วงเข้าสู่ฤดูหนาวนั่นเองครับ
ในขณะช่วงเวลาที่ผมเดินทางไปถึง วันนั้นที่เมืองกวางเจาก็หนาวประมาณ 15 องศาเซลเซียส ซึ่งก็ไม่ถือว่าหนาวมาก แต่คนแก่อย่างผมที่ปกติจะไม่ชอบอากาศหนาวอยู่แล้ว อย่างที่เคยเล่าให้ฟังในคอลัมน์นี้ เพราะมักจะมีอาการทางผิวหนัง ที่จะเกิดอาการเป็นผดผื่นคัน เพราะผิวหนังแตกเป็นประจำ ดังนั้นหากไม่จำเป็นจริงๆ ผมจะงดเดินทางไปประเทศที่มีอากาศหนาว เพราะหลังจากไปแล้วกลับมาถึงกรุงเทพ ก็จะต้องคันตามผิวหนังอีกอย่างน้อยๆ สอง-สามสัปดาห์เลยทีเดียวครับ
อันที่จริงคนแก่กับอากาศหนาว มักจะไม่ค่อยจะถูกโฉลกกันเท่าไหร่ เพราะนอกจากอาการที่ผมกล่าวมาแล้ว ยังมีโรคอื่นๆ อีกหลายโรค ที่มักจะตามมาเป็นแพ็คเกจเสมอ เช่น โรคไข้หวัดใหญ่ โรคงูสวัด โรคหัด โรคเริม โรคผิวหนังแพ้อากาศ (อย่างที่ผมเป็น) ฯลฯ ดังนั้นจะเห็นว่า ตอนเป็นเด็กๆ เราก็จะชอบอากาศหนาว พอเข้าสู่วัยรุ่นก็ยิ่งชอบใจมากขึ้นเป็นลำดับ แต่พอแก่ตัวลงความชอบเริ่มหายไปเรื่อยๆ ละครับ ดังนั้นใครก็ตาม ที่ชอบพาผู้สูงวัยไปท่องเที่ยวประเทศเมืองหนาวในฤดูหนาว คงต้องคิดใหม่แล้วละครับ
ส่วนตัวผมเอง เวลาที่ผมเดินทางไปต่างประเทศในฤดูหนาว นอกจากครีมโลชั่นสารพัดยี่ห้อแล้ว สิ่งหนึ่งที่ผมจะทำเพื่อรักษาความอบอุ่นร่างกายไว้เสมอ คือการดื่มน้ำชา หรือน้ำอุ่นๆ ไว้ก่อน เพื่อรักษาอุณหภูมิของร่างกาย ไม่ให้หนาวมากจนเกินไป การสวมใส่เสื้อผ้า ก็จะเลือกเอาเสื้อผ้าที่กันลมได้ไว้ก่อนเสมอ เพราะจะไม่ทำให้ผิวหนังโดนลม นั่นอาจจะเป็นสาเหตุหนึ่ง ที่ทำให้ผิวแห้ง และจะพาลทำให้ผิวหนังแตกง่าย เมื่อผิวหนังแตก เราก็จะคัน พอคันก็อดไม่ได้ที่จะเกาที่คัน ผิวหนังที่เปราะบางและแตกอยู่แล้ว ก็จะทำให้เกิดโรคผิวหนังได้ง่ายๆ นั่นเองครับ
อีกหนึ่งวิธีที่ผมใช้เป็นประจำเช่นกัน คือ “การอาบน้ำอุ่น” ต้องขอย้ำว่าน้ำอุ่นนะครับ ไม่ใช่น้ำร้อน เพราะน้ำร้อนที่เราอาบเสร็จเมื่อเช็ดตัวจนแห้งแล้ว หากไม่ชะโลมด้วยครีมหรือโลชั่น ก็จะทำให้ผิวหนังที่เปราะบาง เกิดอาการแตกได้เช่นกันกับที่กล่าวมาข้างต้นครับ แต่อาบน้ำอุ่นจะไม่เกิดอาการเช่นนั้น นอกจากนี้ขอแนะนำวิธีการดูแลผิวให้ชุ่มชื้น ด้วยเคล็ดลับง่ายๆ อีกอย่างคือ การอาบน้ำด้วยการชำระล้างร่างกายด้วยน้ำเปล่า
ซึ่งคนไทยเรามักจะไม่คุ้นเคย เพราะอาบน้ำไม่ถูสบู่ ก็เหมือนไม่ได้อาบ แต่ในความเป็นจริง หากตัวเราเองไม่ได้มีเหงื่อมากเกินไป หรือไม่ได้สกปรกมาก ก็ควรงดการใช้สบู่บ้างเป็นบางวัน ก็น่าจะดีกว่าใช้ทุกวันนะครับ หรือถ้าไม่ใช้สบู่ไม่ได้ ก็ควรเลือกใช้สบู่ที่อ่อนโยน ก็จะดีที่สุดครับ ส่วนสบู่ที่โรงแรมจัดเตรียมไว้ให้บริการลูกค้า ผมคิดว่าไม่ควรใช้น่าจะดีกว่า เพราะเขาอาจจะคิดประหยัดไว้ก่อน โดยเอาสบู่ที่คุณภาพต่ำมาให้บริการก็เป็นได้ครับ
อีกเรื่องหนึ่งที่พึงระวัง ในช่วงที่อยู่กับอากาศที่หนาวเย็น การทาครีมบำรุงสม่ำเสมอ เป็นสิ่งที่จำเป็นอย่างยิ่ง ผมเองแม้จะติดสารพัดครีมไปด้วย แต่ผมมักจะเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวที่เหมาะกับสภาพผิวของตัวผมเสมอ วิธีง่ายๆ ในการเลือกครีม ผมก็มักจะสอบถามกับผู้ขายว่า ผมเป็นคนผิวบอบบาง จะใช้ครีมยี่ห้อไหนดี แค่นี้ก็สามารถเลือกครีมที่เหมาะกับผิวเราได้แล้วครับ
หรือถ้าหากท่านเป็นคนที่ผิวแห้งมากๆ คนขายอาจจะหาออยล์มาให้แทนครีม เพราะควรใช้ออยล์ทาบำรุงผิวหนังมากกว่าครีมครับ อีกสิ่งหนึ่งคือ ต้องดูว่าประเทศที่เราจะไป มีแสงแดดเป็นอย่างไรบ้าง เพราะบางประเทศแม้จะหนาว แต่แสงแดดอาจจะมีรังสีอัลตราไวโอเล็ตมากกว่าประเทศเราก็ได้ ดังนั้นก็ควรติดครีมกันแดดไปด้วยเสมอ เวลาออกนอกสถานที่จะได้มีไว้ทากันแดดทุกครั้ง เพื่อปกป้องผิวหนังจากแสงแดดที่มากับลมหนาว เพราะจะทำให้ผิวหนังแตกได้ง่ายๆ ครับ
อย่างไรก็ตาม ในช่วงฤดูหนาว เราในฐานะผู้สูงวัย ถ้าไม่ต้องเดินทางได้ก็จะดีที่สุดครับ เพราะประเทศไทยเรามีอุณหภูมิที่ไม่ร้อนจนเกินไป และไม่หนาวจนตัวสั่นเหมือนประเทศอื่นๆเขา คนต่างชาติบางคนเขาต่างอิจฉาคนไทย ที่มีที่อยู่อาศัยที่สุขสบายที่สุด บางคนถึงขั้นย้ายถิ่นฐานมาอยู่บ้านเราเพื่อหนีหนาว แต่พวกเราพอหนาวกลับอยากไปท่องเที่ยวบ้านเขา .....เอ่อ ก็นิดหนึ่งนะครับ