การรักษาโรคด้วยวิธีการ “กัวซา”

26 ม.ค. 2567 | 21:25 น.

การรักษาโรคด้วยวิธีการ “กัวซา” คอลัมน์ชีวิตบั้นปลายของชายชรา โดยกริช อึ้งวิฑูรสถิตย์

หลังจากที่เขียนเรื่องแพทย์แผนจีนไปเมื่ออาทิตย์ที่ผ่านมา ก็ได้รับเสียงตอบรับกลับมาดีมาก มีบางท่านที่เขียนมาถามถึงอาการที่ตนเองเป็นอยู่ ว่าจะรักษาอย่างไร? ผมจึงตอบไปว่า “ผมไม่ใช่หมอครับ คงต้องขอความกรุณาไปพบหมอที่โรงพยาบาลดีกว่าครับ” 

ไม่ใช่ผมหยิ่งนะครับ แต่นี่ผมตอบจากใจจริง เพราะท่านเข้าใจผิด เดี๋ยวตอบไปจะพาท่านเข้ารกเข้าพงไปเสียเปล่าๆ เอาเป็นว่าอ่านบทความของผม ขอให้อ่านด้วยความสนุกสนาน อย่าได้ถือเป็นสรณะจะดีกว่าครับ
       
ที่ถามมาว่า ผมเข้าใจแพทย์แผนจีนดีแค่ไหน? ก็ต้องตอบว่าผิวเผินจริงๆ ครับ เพียงแต่คุ้นเคยกับการแพทย์แผนจีนมาตั้งแต่เด็กๆเท่านั้นครับ ผมจำได้ว่าในช่วงที่ยังเป็นเด็กๆ อยู่บ้านนอก คุณแม่มักจะชอบพูดว่า เป็นร้อนในบ้าง เป็นเลือดลมไม่ดีบ้าง หรือแม้ลูกๆจะเป็นไข้ตัวร้อนอย่างไร คุณแม่ก็จะสันนิษฐานว่า เป็นโน่นเป็นนี่ แล้วก็ต้มยาสมุนไพรให้กินกัน

หรือบางครั้งท่านก็จะให้หมอจีนแก่ๆ “แหมะ” ให้ แล้วคุณหมอจีนแก่ๆ จึงจะวินิจฉัยว่าพวกเราเป็นอะไร? จากนั้นก็จะเขียนโพยมา ให้ไปซื้อยาสมุนไพรมาต้มกินกัน ต้องบอกว่านอกจากมีอาการหนักจริงๆ ถึงจะพาไปฉีดยาที่สุขศาลาประจำอำเภอ 

การที่จะได้เข้าเมืองไปโรงพยาบาลนั้น ค่อนข้างจะน้อยครั้งมาก แม้แต่หกล้มหัวร้างข้างแตก แขนขาหัก ก็จะพาไปหาพ่อใหญ่วอน ที่อยู่ที่บ้านม่วง ห่างจากหลังบ้านผม เดินไปประมาณสองกิโลเมตร เพราะท่านเป็นหมอสารพัดนึกจริงๆ 

พ่อใหญ่วอนท่านจะเป็นหมอเป่าคาถาประจำตัว ลงในน้ำมันงา ให้นำมาทาถูนวดเสมอ ท่านอาศัยอยู่ในหมู่บ้านม่วง ใกล้ๆ บ้านโคกสวาย ตำบลสายออ อำเภอโนนไทย จังหวัดนครราชสีมา ที่ผมบอกถึงรายละเอียดขนาดนี้ ท่านจะได้ทราบว่าผมเป็นเด็กบ้านนอกจริงๆครับ

การรักษาด้วยสมุนไพรและแพทย์แผนไทยและแพทย์แผนจีนมาตั้งแต่เด็กๆ จึงทำให้ผมมีความคุ้นเคยอยู่เป็นประจำ จนกระทั่งพอโตขึ้นมาหน่อย ได้เดินทางไปเรียนภาษาจีนต่อที่อำเภอเชียงของ จังหวัดเชียงราย ในช่วงที่อาศัยอยู่ที่นั่น บางครั้งเจ็บไข้ได้ป่วย ก็ไม่กล้าบอกพี่สาวที่ผมอาศัยอยู่ที่บ้านท่าน เพราะเกรงว่าท่านจะดุเอา 

แต่ผมก็มักจะไปบอกเพื่อนๆ ที่เป็นเด็กจีนฮ่ออพยพ เพื่อนคนนี้ชื่อว่า “เกาเจิ้นหย่า” เราเรียกชื่อเล่นว่า “เหล่าเกา” ที่บ้านเหล่าเกาจะมียายแก่ๆ ของเขาอยู่ท่านหนึ่ง คุณยายจะติดฝิ่นอย่างงอมแงมเลยครับ ทุกวันท่านจะนอนสูบฝิ่นอยู่ที่บ้าน ในศูนย์อพยพชาวจีนฮ่อที่บ้านหัวเวียง 

พอเราไม่สบายปวดหัวตัวร้อน ปวดท้อง หรือท้องร่วง พวกเราก็มักจะบอกท่าน ท่านก็จะเอา “ขี้ฝิ่น” ที่ติดอยู่ปลายกระบอกสูบฝิ่น มาปั้นเป็นก้อนเล็กๆ ประมาณก้อนขี้แมว แล้วให้พวกเราเด็กๆ กินแก้ไข้ แก้ปวด หรือแก้สารพัดโรคได้หมด อาการต่างๆ ก็จะหายอย่างชะงัดมากครับ
        
หากมีอาการปวดหัวหรืออาการเป็นไข้ อีกหลายๆ อาการ ผมจะถูกเพื่อนที่เป็นเด็กจีนฮ่อเหล่านี้ ช่วยด้วยการรักษาโดยวิธี “กัวซา 刮痧” ตอนที่อยู่ที่เชียงของ เพื่อนๆ มักจะใช้ยาหม่องมาถูทาที่จุดที่ต้องการทำกัวซา ส่วนใหญ่ก็จะเป็นหลัง บ่า ไหล่ ขมับ 

จากนั้นก็จะใช้นิ้วมือหนีบแล้วก็ดึง จนเกิดอาการห้อเลือด หรือที่เรียกว่า “ซา 痧” ปรากฏให้เห็น ยิ่งแดงยิ่งห้อเลือด ตัวเราเจ็บก็ต้องทนเจ็บ เพราะเพื่อนจะบอกว่าได้ผลแล้ว เดี๋ยวก็หาย 

ซึ่งในยุคนั้น  การสืบเสาะหาข้อมูลด้านการวิจัยค่อนข้างจะหายาก ต้องเข้าห้องสมุดจึงจะหาได้ ดังนั้นเด็กๆ อย่างผมจึงไม่ทราบข้อมูลมากนัก ไม่เหมือนปัจจุบันนี้ครับ 
        
พอได้ขึ้นไปอาศัยและเรียนหนังสือที่บนดอยแม่สะลอง การกัวซา 刮痧 ก็ยังคงเป็นเรื่องสำคัญ ที่พวกเด็กดอยอย่างผมคุ้นเคยกับการทำการรักษาแบบนี้ครับ เพียงแต่การใช้อุปกรณ์ในการกัวซา ได้มีการพัฒนาไปอีกขั้นหนึ่ง คือ ใช้ฝายาหม่องบ้าง ฝากระป๋องนมข้นหวานบ้าง เหรียญบาท(รุ่นเก่าจะใหญ่กว่าเหรียญสิบในปัจจุบัน)บ้าง 

ที่เป็นเรื่องเป็นราวหน่อยก็คือเอาเขาสัตว์ตัดแต่งเป็นแผ่นขนาดพอมือบ้าง มาใช้เป็นอุปกรณ์ในการกัวซา ไม่ต้องใช้นิ้วมือดึงอีกต่อไป ก็ลดความเจ็บลงไปได้อย่างดีครับ นี่คือความคุ้นเคยกับการแพทย์แผนจีนของผมครับ
       
พอเข้าสู่ยุคนี้ การสืบค้นหาข้อมูลด้วยระบบคอมพิวเตอร์ ง่ายแค่ปลายนิ้วมือ ผมจึงเข้าไปดูเรื่องของกัวซา จึงรู้ถึงวัตถุประสงค์ในการรักษาโรคต่างๆ มากขึ้น อีกทั้งรู้ถึงเหตุผลของการใช้อุปกรณ์ต่างๆ ในการกัวซา รวมถึงอาการที่จะเกิดการแทรกซ้อนจากโรคที่ควรระวังเยอะแยะเลยครับ น่าสนใจมากทีเดียว 

ความคุ้นเคยของผมกับความเชื่อผิดๆ ในอดีต ก็สามารถรู้ได้จากการสืบค้นข้อมูลนี่แหละครับ ดังนั้นถ้าท่านอยากรู้ ท่านก็สามารถสืบค้นหาได้ไม่ยาก แต่อย่าได้เชื่อข้อมูลที่ไม่มีที่มาอ้างอิงนะครับ 

ทางที่ดีที่สุดของข้อมูล ควรอ่านจากบทวิจัยที่ถูกตีพิมพ์ในนิตยสารที่มีฐานข้อมูล แรงกิ้งอย่างน้อยๆ ต้องมีระดับ T-2 ขึ้นไปนะครับ จะได้ไม่พลาดครับ
       
วันนี้ผมคงไม่ต้องสาธยายวิธีการรักษาด้วยกัวซา หรือไม่ต้องบอกถึงประโยชน์ที่จะได้รับจากการรักษาด้วยกัวซานะครับ เพียงแต่อยากเล่าถึงความคุ้นเคยของผมที่มีต่อการแพทย์แผนจีน ซึ่งผมเชื่อว่าทุกท่านต้องคุ้นเคยกันอยู่แล้ว 

เพราะส่วนใหญ่เราจะเป็นคนไทยเชื้อสายจีน ในอดีตเราต้องเคยได้รับการรักษาด้วยการแพทย์แผนจีนอยู่แล้ว แต่เราไม่ได้สังเกตเท่านั้นแหละครับ วันต่อไปผมจะเล่าถึงวิธีการรักษาด้วยวิธีอื่นๆ ที่น่าสนใจให้อ่านเล่นนะครับ