*** การที่ราคาหุ้นของ JKN ปรับขึ้นมาหลังจากที่ลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ราคา 1.02 บาท อย่างน้อยก็เป็นโอกาสให้นักลงทุนที่ติดดอย JKN มีโอกาสที่จะได้ “ออกของ” หลังจากเข้าไปรับ “เผือกร้อน” เพราะคิดว่าผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารสูงสุดอย่าง “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” จะหาทางออกให้กับปัญหาการชำระหุ้นกู้ได้อย่างทันท่วงที ก่อนที่จะสร้างความเสียหายอื่นๆ ที่อาจจะเกิดตามมา ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของราคาหุ้น หรือ ธุรกิจของบริษัท โดยเฉพาะในเรื่องของเครดิต ซึ่งอาจจะเป็นเหตุให้ไม่สามารถที่จะหาแหล่งเงินทุนอื่นเพื่อมาต่อยอดและสร้างสภาพคล่องให้กับธุรกิจที่ “ข้างนอกสุกใส...ข้างในเป็นโพรง” หรือจะแปลไทยเป็นไทยง่ายๆ ว่าภายนอกอาจจะดูดีแต่ภายในกลับมีปัญหาเต็มไปหมดนั่นเอง
ทีนี้เรามาดูกันว่า ทำไมเจ๊เมาธ์ถึงได้พูดว่า JKN ภายนอกอาจจะดูดีแต่ภายในกลับมีปัญหาเต็มไปหมดเช่นนี้
ภาพลักษณ์ภายนอกที่ดูดีอย่างแรกของ JKN ก็คงหนีไม่พ้นไปจากการที่มี “แอน จักรพงษ์” ที่นอกจากจะเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่และผู้บริหารสูงสุดของบริษัทแล้ว “แอน จักรพงษ์” ยังทำหน้าที่เป็นตัวแทนแห่งภาพลักษณ์ (Brand Ambassador) โดยรวมทุกอย่างของบริษัทเข้าไว้ในตัวของแอนแต่เพียงผู้เดียว
ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดก็ตามไม่ว่าจะดี หรือไม่ดีที่แอนได้แสดงออกมาก็จะสะท้อนภาพ หรือตัวตนของ JKN ออกมาด้วยเช่นกัน
ส่วนภาพลักษณ์ดูดีของ JKN อย่างที่สองก็เป็นเรื่องของผลการดำเนินงานที่ทั้งรายได้และกำไรเป็นบวกต่อเนื่องกันมาหลายปี จนใครก็ตามที่ไม่ได้เข้าไปลงในรายละเอียดผลการดำเนินงานก็จะเข้าใจว่า บริษัทนี้ทำทุกอย่างได้ดี
รวมไปถึงการที่ทาง JKN ได้พยายามขยายการลงทุนเข้าไปในธุรกิจอื่นอย่างหลากหลาย ก็ล้วนแล้วแต่ส่งเสริมภาพลักษณ์ของ JKN ให้เดินไปในทิศทางที่ดีทั้งสิ้น
อย่างไรก็ตาม....หากมองไปในอีกมุม ซึ่งอาจจะเป็น “ด้านมืด” ที่ยังไม่ถูกนำมาพูดถึงมากนักของ JKN ก็น่าจะพอทำให้มองเห็นสุภาษิตโบราณที่บอกว่า “ข้างนอกสุกใส...ข้างในเป็นโพรง” เป็นอย่างไร
สิ่งแรกที่ถือได้ว่าเป็นปัญหาที่ซ่อนอยู่ของ JKN ก็คือเรื่องของ “กระแสเงินสด” ซึ่งแสดงถึงเงินสดที่ไหลเข้าออกในกิจการอย่างแท้จริงในรอบหลายปีที่ผ่านมา เดินสวนทางกับผลการดำเนินงานของบริษัทอย่างสิ้นเชิง
โดยจะพบว่า ในเวลา 4 ปีย้อนหลังกลับไปตั้งแต่ปี 2562-2565 บริษัทมีกระแสเงินสด -974 ล้านบาท, -2,020 ล้านบาท, -2,259 ล้านบาท และ -2,847 ล้านบาทตามลำดับ
ส่วนเรื่องที่สอง น่าจะเป็นปัญหาอันเกิดจากการขยายการลงทุนไปยังกิจการอื่น ซึ่งอาจจะเกินกำลังจนเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้ JKN เกิดภาวการณ์ขาดสภาพคล่องขึ้นมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งการลงทุนซื้อหุ้นสามัญทั้งหมด จากกลุ่มผู้ถือหุ้นเดิมทั้งหมดของ บริษัท ดีเอ็น บรอดคาสท์ จํากัด ซึ่งเป็นผู้ได้รับใบอนุญาตให้ใช้คลื่นความถี่และประกอบกิจการโทรทัศน์ดิจิทัล ช่อง 18 ในมูลค่าการลงทุนจำนวนประมาณ 1,060 ล้านบาท ในช่วงเดือน เมษายน 2564
ขณะที่ในช่วงปลายปี 2565 ทาง JKN ได้เข้าไปซื้อกิจการ Miss Universe Organization หรือ MUO ในมูลค่าราว 800 ล้านบาท
ส่วนเรื่องที่สาม เป็นปัญหาอันเกิดจากธุรกิจเดิมของ JKN ซึ่งสินทรัพย์ส่วนใหญ่ของ JKN อยู่ในรูปของสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน ไม่ว่าจะเป็น ลิขสิทธิ์รายการ และเครื่องหมายการค้า โดยสินทรัพย์ส่วนนี้จะถูกหักเป็นค่าใช้จ่ายในงบกำไรขาดทุน ตามสัญญาในช่วงเวลา 3 ปี, 5 ปี หรือ 10 ปี แต่จะไม่ได้ลงเต็มเป็นก้อนในปีเดียว
ด้วยระบบการบันทึกบัญชีที่ว่านี้ จึงกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้ JKN มีสินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตนรวมแล้วสูงถึง 7.7 พันล้านบาท ในขณะที่บริษัทมีลูกหนี้การค้าและลูกหนี้หมุนเวียนอยู่สูงถึง 2.3 พันล้านบาทอีกด้วย
ที่เจ๊เมาธ์ว่ามาทั้งหมดนี้ยังไม่นับรวมไปถึงปัญหาที่ “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” ผู้บริหารสูงสุดของ JKN ที่แถลงข่าวว่าจะเคลียร์ปัญหาหุ้นกู้ที่บริษัทไม่สามารถชำระเงินต้นและดอกเบี้ย ให้แก่ผู้ถือหุ้นกู้ให้ครบจำนวน ซึ่งเป็นการบอกกล่าวลอยๆ ว่าจะแก้ปัญหา...โดยที่ยังไม่เห็นภาพว่าจะแก้ปัญหาที่ชัดเจนแต่อย่างใด
และเมื่อไม่มีความชัดเจนในวิธีการแก้ปัญหา ก็เลยกลายเป็นปัญหาที่ทำให้เจ๊เมาธ์ถึงกับงงว่าอะไรที่ทำให้ราคาหุ้นของ JKN เริ่มดีดตัวกลับขึ้นมาได้อย่างไรนั่นเอง
เอาเป็นว่ายังไม่ต้องรีบตัดสิน แต่ต้องดูกันไปอีกว่า JKN จะแก้ปัญหาอย่างไร ถ้าแก้ได้ก็ดีไป...แต่หากไม่สามารถแก้ปัญหาสภาพคล่อง เลยไปถึงขั้นที่ไม่สามารถที่จะแก้ปัญหาหุ้นกู้ที่มีอยู่ได้ งานนี้ไม่แน่ว่าราคาหุ้นของ JKN อาจจะหลุดลงไปต่ำกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบันอย่างแน่นอน เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้ เจ้าค่ะ