*** เรื่องของ CV เริ่มมีเค้าลางว่าจะเป็นไปในแบบเจ๊เมาธ์ เคยเขียนถึงว่าดูเหมือนจะมีอะไรไม่ชอบมาพากลอยู่มาก ล่าสุดการที่ราคาหุ้นของ CV ปรับร่วงลงมาเคลื่อนไหวอยู่ที่ 0.80 บาท ตลอดจนลงไปแตะจุดต่ำสุดที่ 0.63 บาท/หุ้น นับตั้งแต่คณะกรรมการบริษัทมีมติให้เพิ่มทุนจดทะเบียนขึ้น 3 เท่าตัวจากทุนจดทะเบียนเดิม 640 ล้านบาท เพิ่มขึ้นมาอีก 1,920 ล้านบาท จนทำให้มีทุนจดทะเบียนเพิ่มขึ้นมาเป็น 2,560 ล้านบาท ด้วยการออกหุ้นเพิ่มทุน 3,840 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 0.50 บาท แบ่งเป็น เสนอขายผู้ถือหุ้นเดิม (RO) 2,560 ล้านหุ้น จัดสรร 1 หุ้นเดิม ต่อ 2 หุ้นเพิ่มทุน ราคาหุ้นละ 1 บาท แถมใบสำคัญแสดงสิทธิซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ครั้งที่ 1 (CV-W1) ไม่เกิน 1,280 ล้านหุ้น อัตรา 2 หุ้นเพิ่มทุนต่อ 1 หน่วยวอร์แรนต์
ซึ่งการที่ราคาหุ้นปรับลงมามากขนาดนี้ เป็นการปรับราคาลงไปรอ ทั้งที่ที่ประชุมวิสามัญผู้ถือหุ้นยังไม่ได้อนุมัติการเพิ่มทุนที่ว่าเลยด้วยซ้ำ และที่ทำให้เจ๊เมาธ์รู้สึกงงๆ ก็คือ แม้แต่ตัวของ “เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล” ซึ่งเป็นทั้งผู้บริหารและผู้ถือหุ้นใหญ่ มีการขายหุ้นที่ถืออยู่ออกมา รวมไปถึงการที่ราคาหุ้นหน้ากระดานของ CV (0.80 บาท/หุ้น) มีมูลค่าต่ำกว่าราคาหุ้นเพิ่มทุน (1 บาท/หุ้น) ประมาณว่า นักลงทุนไม่เชื่อมั่นเพราะสังเกตได้จากราคาหุ้นร่วงลงมาต่ำอย่างที่เป็นอยู่ ขณะที่ผู้บริหารเองก็ไม่เชื่อเพราะยังทยอยขายหุ้นออกมาเรื่อย ...แล้วแบบนี้การเพิ่มทุนที่ว่าจะทำสำเร็จได้อย่างไร
ยังไม่ต้องพูดถึงการเพิ่มทุนมโหฬารแบบแปลกๆ รวดเดียว 3 เท่าตัว เพราะหากผู้ถือหุ้นปัจจุบันของ CV เช่น เศรษฐศิริ ศักดิ์สิทธิเสรีกุล ซึ่งเป็นทั้งผู้ถือหุ้นใหญ่ 28% และ น.ส.นิลทิตา เลิศเรืองศุภกุล 14% ผู้เป็นทั้งกรรมการบริษัทและผู้บริหารซึ่งเป็นผู้ออกมติเพิ่มทุนเอง แต่ท้ายที่สุด หากอ้างเหตุผลว่าไม่คุ้มค่าที่จะเพิ่มทุนและสละสิทธิ์ไม่เพิ่มทุน และเมื่อเพิ่มทุนไม่สำเร็จ จะกลายเป็นการเอื้อประโชน์ให้บุคคลอื่นเข้ามา Backdoor หรือไม่...ที่ตั้งคำถามเอาไว้เพราะเรื่องนี้น่าคิดและน่าติดตามจริงๆ
*** ดูเหมือนว่าวิบากกรรมของ MORE จะยังไม่จบ เพราะล่าสุด ตลาดหลักทรัพย์ฯ ได้มีคำสั่งให้ MORE ต้องชี้แจงเรื่องของรายการเงินให้กู้ยืมระยะสั้นแก่บริษัทร่วม การรับคืนเงินมัดจำค่าสิทธิค้างรับจากบริษัทร่วม เงินลงทุนจ่ายล่วงหน้า เงินมัดจำค่าซื้อหุ้น และ เงินลงทุนในหลักทรัพย์ต่างๆ รวม 357 ล้านบาท หรือ 20% ของส่วนของผู้ถือหุ้น ซึ่งทั้งหมดเป็นธุรกรรมที่เกิดขึ้นในงบการเงิน MORE งวด 6 เดือนแรกปีนี้
ไม่ว่าจะเป็นการให้กู้ยืมระยะสั้นให้แก่บริษัท MORE โดยที่ไม่มีข้อมูลในงบการเงิน และไม่ปรากฏส่วนแบ่งกำไร ...ขาดทุนจากเงินลงทุนในบริษัทร่วมแต่อย่างใด
นอกจากนี้ยังมีเรื่องของเงินลงทุนจ่ายล่วงหน้า เงินมัดจำค่าซื้อหุ้น และการลงทุนในตราสารทุน ทั้งในส่วนของเงินลงทุนจ่ายล่วงหน้า ในโครงการ “Grand Ratchada” การลงทุนตราสารทุน-หลักทรัพย์จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ในเดือนพฤษภาคม 2566 และเงินวางมัดจำค่าซื้อหุ้น 20 ในเดือนเมษายน 2566 โดยทั้งหมดนี้จะต้องมีคำตอบให้ ตลท. ภายในวันที่ 24 ตุลาคม 2566
ก็ไม่รู้ว่าบริษัทนี้มีปัญหาอะไรกันนักหนา ทั้งที่เรื่องเดิมก็ยังไม่มีความชัดเจน และยังไม่แก้ไข ...นี่ก็มีเรื่องใหม่เข้ามาอีกแล้ว หุ้นแบบนี้เจ๊เมาธ์บอกได้แค่ว่าน่ากลัวจริงๆ
*** ราคาหุ้นของ KEX ปรับลงไปอยู่ในจุดที่ต่ำที่สุดตั้งแต่เข้าตลาด ราคาหุ้นต่ำลงมามาก ที่ว่าต่ำแล้วก็ยังต่ำลงต่อไปอีก ก็อย่างที่เจ๊เมาธ์เคยบอกไปแล้วว่าหุ้นทรงนี้ ถ้ายังไม่มีสัญญาณการฟื้นตัว ก็ยังไม่ควรที่จะเข้าไปยุ่ง และยิ่งช่วงนี้ราคาน้ำมันเชื้อเพลิง ซึ่งถือว่าเป็นต้นทุนหลักของธุรกิจการรับส่งพัสดุมีแนวโน้มว่าจะปรับขึ้นไปอีกชนิดที่ยังมองไม่เห็นปลายทางได้ ส่งผลกระทบโดยตรงกับบริษัทที่มีผลการขาดทุนสะสมอย่าง KEX อย่างไม่ต้องสงสัย นี่ยังไม่รวมไปถึงผลการดำเนินงาน 3/66 ที่ถึงแม้ผู้บริหารบริษัทจะบอกว่าปีนี้รายได้จะยังดีอยู่ ก็ไม่รู้ว่ามีแค่รายได้แต่ยังขาดทุนต่อไปหรือไม่ เอาเป็นว่าคำเตือนของเจ๊ ก็ยังคงแนะนำว่าให้อยู่ห่างๆ ไม่ต้องรีบ เอาไว้มีสัญญาณดีๆ แล้วค่อยมาว่ากันเจ้าค่ะ
หนังสือพิมพ์ฐานเศรษฐกิจ ฉบับ 3931 ระหว่างวันที่ 15-18 ต.ค. 2566