*** หากใครที่เป็นแฟนคลับของเจ๊เมาธ์ก็จะรู้ว่า บมจ.เจเคเอ็น โกลบอล กรุ๊ป หรือ JKN ของ “แอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์” เป็นอีกหนึ่งในบริษัทที่เจ๊เมาธ์พูดถึงบ่อยมาก เนื่องจาก “ความไม่น่าไว้วางใจ” หุ้นตัวนี้มาโดยตลอด
และถึงวันนี้เมื่อที่ประชุมคณะกรรมการของ JKN ได้แจ้งต่อตลาดหลักทรัพย์ฯ ว่า บริษัทยื่นคำร้องขอเข้าแผน “ฟื้นฟูกิจการ” ต่อศาลล้มละลายกลาง โดยมีเหตุผลหลักว่า “เพื่อแก้ไขปัญหาสภาพคล่องทางการเงินของบริษัท” กลายเป็นสิ่งยืนยันว่า ความไม่ไว้วางใจที่เจ๊เมาธ์มีต่อ JKN มาตลอดเป็นเรื่องที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม “การฟื้นฟูกิจการ” มีกฎหมายกำหนดให้ทั้งเจ้าหนี้ หรือ ลูกหนี้ที่ยื่นคำร้องขอให้มีการฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้ต้องเข้าเงื่อนไขดังต่อไปนี้
1. ลูกหนี้มี “หนี้สินล้นพ้นตัว” หรือ ลูกหนี้ไม่สามารถที่จะชำระหนี้ตามกำหนดได้ (inability to pay)
2. เป็นหนี้เจ้าหนี้คนเดียว หรือหลายคนรวมกันเป็นจำนวนแน่นอนไม่น้อยกว่า 10 ล้านบาท ในกรณีของธุรกิจขนาดใหญ่
3. หนี้จำนวนแน่นอนดังกล่าวจะถึงกำหนดชำระในทันทีหรือในอนาคตก็ได้
4. มีเหตุอันสมควรและมีช่องทางที่จะฟื้นฟูกิจการของลูกหนี้
หากพิจารณาจากข้อกำหนดเบื้องต้นก็จะเห็นได้ว่า กรณีของ JKN ดูเหมือนคุณสมบัติไม่เพียงน่าจะเพียงพอ หรือ ฟังขึ้นในการจะเข้าแผนฟื้นฟู เพราะองค์ประกอบที่ว่า “มีหนี้สินล้นพ้นตัว” ก็ไม่น่าจะใช่?!?… เนื่องจากเป็นที่ปรากฏชัดเจนว่า งบการเงินของ JKN ในช่วง 6 เดือนแรกของปี 66 บริษัทยังมีสินทรัพย์รวมมากกว่าหนี้สิน
โดยมีสินทรัพย์รวมอยู่ที่ 12,161 ล้านบาท ขณะที่มีหนี้สินรวมอยู่ที่ 7,398 ล้านบาท และมีส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ถึง 4,756 ล้านบาท …แปลง่ายๆ คือ ทรัพย์สินมากกว่าหนี้สิน แถมยังมีกำไรอีกต่างหากใน 5 ปีย้อนหลัง โดยครึ่งปีแรกของปี 2566 ยังโชว์กำไรอีก 121 ล้านบาท
ด้วยองค์ประกอบทั้งหมดนี้… ไม่นับ แถลงการณ์ชวนขายฝัน รวมถึงพฤติกรรมชอบออกสื่อ อวดความมั่งคั่ง จึงทำให้ตั้งข้อสังเกตได้ว่า การที่ JKN ได้รายงานต่อตลาดฯ ในวันที่ 8 พ.ย. 66 ว่า บริษัทจะยื่นคำร้องขอฟื้นฟูกิจการ น่าจะเป็น “พฤติกรรมอำพราง”? หรือน่าสงสัยไหม? ว่ายื่นเข้าฟื้นฟูทำไม??? เหมือนมีอะไรปิดบังและอยากจะปกปิดแผลอะไรบางอย่างหรือไม่?
จากข้อมูลภายใน…ได้ข่าวแว่วๆ ว่า JKN ได้เปลี่ยน CFO หรือ ผู้ดูแลฝ่ายบัญชีมาแล้วหลายรายในช่วงเวลาสั้นๆ ที่ผ่านมา เสมือนมีแต่คนในชิ่งออกเพราะเหตุบางอย่าง…
พอลองไปสแกนอีกครั้งในงบการเงิน กับทรัพย์สิน หมื่นกว่าล้าน สิ่งที่น่าสงสัยที่สุดคือ 20% หรือ 2.3 พันล้าน เป็นลูกหนี้การค้า และอีกกว่า 7.7 พันล้าน หรือ กว่า 64% เป็นสินทรัพย์ไม่มีตัวตน หรือ ลิขสิทธิ์ content…
แปลง่ายๆ คือ 84% ของทรัพย์สิน เป็นเพียงลูกหนี้ (จริงปลอมไม่ทราบ?) กับลิขสิทธิ์ (อะไรก็ไม่รู้)
ขณะที่ในฝั่งของ “เจ๊แอน” ในช่วงก่อนที่ JKN จะ “โป๊ะแตก” จนมีปัญหาสภาพคล่องอย่างที่เป็นอยู่ พบว่า “แอน” มีการเล่นรอบขายหุ้นแบบ “บิ๊กล็อต” ในราคาสูง รวมไปถึงการเก็บหุ้นในราคาต่ำจนรวย “อู้ฟู่” มาแล้วหลายรอบ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งการขาย “บิ๊กล็อต” หลังจากที่มีข่าวการเข้าซื้อกิจการของ Miss Universe Organization (MUO) และก่อนการแจ้งข่าวการเพิ่มทุนครั้งล่าสุด
ถามว่า “แอน” รวยแค่ไหน...ก็รวยถึงขั้นที่ “แอน” เป็นนักธุรกิจสาวข้ามเพศที่ถูกจัดอันดับโดย “นิตยสารฟอร์บส์” ของสหรัฐอเมริกา ว่ารวยที่สุดในเอเชีย และรวยที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลกด้วยมูลค่าทรัพย์สินประมาณ 210 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือกว่า 6.3 พันล้านบาท
ดังนั้น ไม่ว่า JKN จะมีปัญหามากแค่ไหน แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นก็จะส่งไปถึง “แอน” น้อย ไปจนถึงน้อยมากอยู่ดี ท้ายที่สุดผู้เสียหายหรือเสียประโยชน์คงหนีไม่พ้นนักลงทุนรายย่อยที่คอยวิ่งตามราคาหุ้นของ JKN หลังจากที่ราคาหุ้นปรับตัวลงมาโดยตลอด
ข้อสงสัยของเจ๊เมาธ์ก็คือ “JKN จะขาดทุนได้อย่างไร” เพราะที่ผ่านมา ไม่ว่าวิกฤติการณ์ทางเศรษฐกิจจะหนักแค่ไหน แต่ JKN ก็มีกำไรสุทธิมาโดยตลอด แม้กำไรเหล่านั้นอาจจะไม่ได้เห็นเป็นตัวเงินที่ไหลเข้าสู่บริษัทก็ตาม แต่ก็ยังนับได้ว่าเป็นกำไรก็ตาม
เรื่องนี้สอดคล้องกับบทความเรื่อง “JKN แดนสนธยา!” ที่เจ๊เมาธ์เคยเขียนเอาไว้เมื่อวันที่ 8 ก.ย.66 เกี่ยวกับเรื่องของจำนวนหุ้นของ JKN ที่ “แอน” ถืออยู่ว่ายังมีเหลือ “ซุกซ่อน” อยู่ที่อื่นอีกหรือไม่ และบริษัทแห่งนี้จะมีสิ่งที่เรียกว่า “นอมินี” ถือหุ้นให้ “แอน” อยู่อีกด้วยหรือไม่
รวมไปถึงบทความเรื่อง “JKN หรือ กำลังจะเดินตามรอย STARK” ที่เขียนเมื่อ 1 ก.ย.66 ซึ่งเป็นการคาดการณ์เอาไว้ว่า บริษัทนี้ดูมีปัญหามาก่อนหน้านี้นานแล้วถึง 2 เดือน
ถึงตอนนี้เจ๊เมาธ์ก็ได้แต่เอาใจช่วยเพื่อให้ทุกอย่างจบลงไปได้ด้วยดี ทั้งนี้ก็เพื่อนักลงทุนรายย่อยจะได้ออกจากหุ้นที่มีพฤติกรรมแบบนี้ในแบบที่ไม่เจ็บตัวมากจนเกินไป และต่อไปก็อย่าได้เข้าไปยุ่ง หรือ วุ่นวาย กับหุ้นแบบนี้กันอีกเลย...เอวังก็มีด้วยประการฉะนี้แลเจ้าค่ะ